พฤติกรรมของคนไทยที่อยากให้บ้านสะอาดตลอดเวลา แต่ไม่มีเวลาปัดกวาดเองทุกวัน สร้างโอกาสให้กับ “หุ่นยนต์ดูดฝุ่นอัตโนมัติ” เป็นอย่างมาก เพราะปล่อยไว้กับพื้นเดี๋ยวหุ่นยนตร์วิ่งไปวิ่งมาเอง เฉพาะปีที่ผ่านมาคาดการณ์เติบโต 75% คิดเป็นมูลค่าตลาดราว 1,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกันมีการประเมินว่า ภายใน 3 ปีนับจากนี้เครื่องดูดฝุ่นแบบหุ่นยนต์ และแบบแฮนด์เฮลด์ซึ่งไม่มีสาย ใช้มือจับได้เลย นิยมทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์และบันได เป็นอีกเซ็กเมนต์ที่กราฟพุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดด ปีที่ผ่านมาเติบโตกว่า 93% จะสามารถแซงตลาดเครื่องดูดฝุ่นธรรมดามูลค่า 2,000 – 3,000 ล้านบาท ได้อย่างแน่นอน
สำหรับตลาดหุ่นยนต์ดูดฝุ่น ที่ผ่านมาเคยมีผู้เล่นสูงถึง 5-10 แบรนด์ วันนี้เหลือราว 4 แบรนด์เท่านั้น สาเหตุเกิดจากการที่สินค้าชนิดนี้ผู้ขายต้องเข้าใจระบบบริหารหลังการขายเป็นอย่างดี ถึงจะสามารถดูแลปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้งานได้
ธรรมสร มีรัตน์ ผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ (Co Founder & Managing Director) บริษัท โรบอท เมคเกอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายแบรนด์ Autobot กล่าวว่า ตลาดนี้ยังคงเป็น Blue Ocean เพราะยังไม่ได้ครอบคลุมทั่วประเทศ หลักๆ ตลาดที่เติบโตอยู่ในต่างจังหวัด โดยการแข่งขันมี 2 เรื่องหลักๆ คือเทคโนโลยีและราคา
ปัจจุบันสินค้าได้เข้าสู่ยุคที่ 4 แล้ว โดยยุคแรก Algorithm and Pattern วิ่งแบบมั่วๆ ชนก็เปลี่ยนทิศวิ่ง, ยุค 2 Gyro Mapping ยังวิ่งมั่วอยู่ แต่รู้ว่าวิ่งไปทิศไหนแล้ว, ยุค 3 Camear Mapping ติดกล้องแต่ปัญหาคือถ้าห้องมือก็ไปต่อไม่ได้ และยุค 4 Lidar Mapping ใช้เลเซอร์ในการทำหนดทิศทางเดิน
โดยกลุ่มผู้กลุ่มผู้บริโภคที่เลือกใช้งาน เป็นกลุ่มเดียวกับเครื่องดูดฝุ่นแบบเดิม คือ กลุ่มแมสที่อายุตั้งแต่ตำกว่า 20 ปี ไปจนถึง 40 ปีขึ้นไป แต่ก็จะซื้อราคาไม่เหมือนกัน กลุ่มเด็กจะซื้อ 2,000 – 3,000 บาท กลุ่มกลางอายุ 30 ปีขึ้นไปนิยมราคา 5,000 – 15,000 ส่วนกลุ่ม 50 ปีซื้อราคา 20,000 บาทเป็นต้นไป
แต่ทั้งนี้การเลือกซื้อหุ่นยนต์ดูดฝุ่น จะขึ้นอยู่กับขนาดห้องเป็นสำคัญ มากกว่าเรื่องของราคา ในภาพรวมผู้บริโภคนิยมซื้อในราคา 10,000 – 15,000 บาท ที่น่าสังเกตคือนิยมซื้อในออนไลน์มากกว่าหน้าร้านปรกติ
“ยอดขายของ Autobot กว่า 70% มาจากออนไลน์ เนื่องจากเดิมการซื้อหุ่นยนต์ดูดฝุ่นอาจจะต้องมาหน้าร้านเพื่อถามถึงวิธีการใช้งาน แต่พอซื้อไปแล้วก็จะรู้วิธีใช้ และที่จริงไม่ได้ยากมากนัก อีกทั้งวันนี้ในออนไลน์มีทั้งข้อมูลและรีวิวให้ดูหาได้ไม่ยาก”
โดยหนึ่งในช่องทางออนไลน์ที่ Autobot ได้ร่วมมืออย่างเป็นทางการคือ Shopee ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมีการทำแคมเปญให้ส่วนลดร่วมกันผลปรากฏยอดขายโตกว่า 200% ครึ่งปีหลังจึงเตรียมทำแคมเปญร่วมกันต่อเนื่อง อย่างโปรเก่าแลกใหม่ ตั้งเป้ายอดขายทั้งปีโต 3 เท่าในส่วนของออนไลน์ แต่ถ้าเทียบในภาพรวมคาดมีรายได้ 300 ล้านบาท
ในขณะที่ Shopee ได้ระบุว่าจากทั้งหมด 21 เซ็กเมนต์ สินค้า 3 กลุ่มที่ขายดี คือ เครื่องสำอาง ของใช้ภายในบ้าน และอิเล็กทรอนิกส์ ปัจจุบันมียอดดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นกว่า 30 ล้านครั้ง จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 24 ล้านครั้ง และมีร้านค้ารวม 8 แสนร้าน.