สงคราม "เรียลลิตี้ข่าว"

“สงครามข่าวทีวี” รอบนี้ไม่ธรรมดา ทีวีทุกช่องเวลานี้หันมาให้น้ำหนักกับรายการข่าวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะช่อง 3 และช่อง 7 ที่ห้ำหั่นกันทั้งช่วงเวลาและรูปแบบรายการ

ช่อง 7 นั้น ส่ง “มีเดีย ออฟ มีเดียส์” เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน ถูกสั่งให้ประกบรายการข่าวของช่อง 3 ชนิดนาทีต่อนาที ข่าวต่อข่าว หลังจากที่ถูกช่อง 3 ชิงนำด้วยแบรนด์ครอบครัวข่าวล่วงหน้าไปหลายช่วงตัว

ผลจากการแข่งขันของทั้ง 2 ช่องไม่เพียงแค่เกิดมหกรรมแย่งชิง “พิธีกรข่าว” กันสนั่นจอ สงครามข่าวรอบนี้ยังสร้างปรากฏการณ์ที่ถือป็น “จุดเปลี่ยน” สำคัญ คือเปลี่ยนจาก “การเล่าข่าว” มาสู่รูปแบบของ “เรียลลิตี้ข่าว”

เมื่อทั้งช่อง 3 และช่อง 7 ต่างแข่งกันนำเสนอข่าวโดยหันมาเล่นกับอารมณ์ความรู้สึก เติมภาพอารมณ์สุข หรือเศร้า เพื่อให้คนดูรู้สึก “อิน” กับข่าว สามารถสร้างความต่อเนื่องในการดูข่าวที่ไม่จบลงง่าย

รูปแบบเรียลลิตี้ข่าว เช่น กรณีข่าวเด็กชายเคอิโงะตามหาพ่อชาวญี่ปุ่น ที่เรตติ้งพุ่งถล่มทลาย มีคนดูคอยตามลุ้น สถานทูตยังต้องยื่นมือเข้ามาช่วย สินค้าใช้โอกาสนี้โปรโมตแบรนด์ ถึงขั้นที่มีคนขอซื้อลิขสิทธิ์ชีวิตเคอิโงะไปผลิตการ์ตูน

การชิงคนดูด้วยข่าวรูปแบบเรียลลิตี้นิวส์ ไม่ได้มีแค่ช่วง 4 ทุ่มครึ่ง ที่ข่าว 3 มิติ และประเด็นเด็ด 7 สี สองรายการที่เป็นตัวจุดประกายเปิดศึกด้วยข่าวแนวนี้เท่านั้น ยังมีให้เห็นทุกช่วงเวลา หรือแม้แต่ข่าวบันเทิง ก็ต้องปรับมานำเสนอรูปแบบเรียลลิตี้ตามติดชีวิตดารา มาใช้กันแล้ว

ที่เห็นได้ชัดอีกอย่าง ทุกช่องต่างแข่งกันควักกระเป๋าลงทุนติดตั้ง “สตูดิโอเสมือนจริง” เพื่อให้การดูข่าวได้ทั้งข้อมูล มีสีสัน และสนุกไม่แพ้การดูละคร

ล่าสุด มีเดีย ออฟ มีเดียส์ ไม่ยอมน้อยหน้าช่อง 3 เปิดตัว Media flying Team ทีมข่าวเฮลิคอปเตอร์ไว้ตระเวนทำข่าวนอกสถานที่

ที่ยอมลงทุนขนาดนี้ เพราะรายการข่าวเวลานี้สามารถทำเงิน ได้ไม่แพ้รายการ “ละคร” ซึ่งสะท้อนว่า คนไทยเวลานี้หันมาติดตามสนใจข่าวสารกันมากขึ้น

สถานีโทรทัศน์ของไทย จึงต้องไล่ล่าหาความสำเร็จ กับสงครามข่าวครั้งใหม่ ที่มีเรตติ้ง และรายได้เป็นเดิมพัน