ฝันหวานของคนทำงานในยุคนี้ ก็คือการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง สามารถสร้างรายได้ให้เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ แนวคิดอันเรียบง่ายนี้ เมื่อถูกนำมาปฏิบัติในโลกความเป็นจริงกลับมีเพียงไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่สามารถอยู่รอดและเติบโตต่อไปได้
ปัญหาหลักๆ ที่บรรดาสตาร์ทอัพทั่วโลกต้องเจอก็คือ สินค้าและบริการที่คิดค้นมาไม่มีตลาดรองรับ, ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างเพียงพอ, ขาดทีมงานที่มีความสามารถ, ไม่สามารถแข่งขันได้, ขาดความรู้ในการบริหารจัดการ ฯลฯ ด้วยความพยายามและมุ่งมั่นตั้งใจที่จะช่วยให้สตาร์ทอัพไทยเติบโตและประสบความสำเร็จได้ในระดับภูมิภาค ธนาคารกสิกรไทยจึงได้เปิดตัวโครงการ KATALYST ขึ้นมา โดยวาง Positioning ให้เป็นเหมือนเพื่อนสนิทที่จะเข้ามาช่วยให้คำแนะนำ แก้ไขปัญหาและเร่งผลักดันพัฒนาศักยภาพของสตาร์ทอัพให้ก้าวหน้าได้อย่างมั่นคง
นายสุปรีชา ลิมปิกาญจนโกวิท ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้สตาร์ทอัพประสบความสำเร็จได้นั้นต้องมีองค์ประกอบพื้นฐาน 5 เรื่อง คือ
1. TEAM เพราะนอกจากตัว Founder แล้ว ทีมงานที่มีความสามารถ จะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของสตาร์ทอัพ ว่าจะสามารถขับเคลื่อนองค์กรไปตามเป้าหมายที่วางไว้ได้หรือไม่
2. PRODUCT สินค้าและบริการที่ดี ต้องช่วยแก้ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ให้แก่สังคมในวงกว้าง มีคุณค่าและมีความหมายต่อลูกค้า เปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าให้ง่ายขึ้น
3. MARKET นำเสนอสินค้าเข้าสู่ตลาดตรงตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมายในจังหวะเวลาที่เหมาะสม
4. BUSINESS MODEL ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด และสามารถบริหารจัดการองค์กรไปตามทิศทางที่วางไว้ และ
5. FUND สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างเพียงพอ
กสิกรไทยมองหาสตาร์ทอัพที่จะเข้ามาร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล และพร้อมจะต่อยอดการให้บริการจากฐานลูกค้าของธนาคารที่มีอยู่ 14.5 ล้านราย พร้อมเปิดรับสตาร์ทอัพทุกระดับ ทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ที่มีศักยภาพพร้อมจะเติบโต แม้จะมีแค่เพียงไอเดีย ทีม KATALYST ก็พร้อมจะเปิดโอกาสให้เข้ามานำเสนอได้ โดยไม่จำเป็นต้องมี Business Plan มาก่อน
พร้อมกันนี้ยังได้จับมือกับพาร์ทเนอร์อย่างเมืองไทยประกันชีวิต ที่ช่วยให้ทีมงานของเหล่าสตาร์ทอัพสามารถเข้าถึงสวัสดิการประกันชีวิตแบบกลุ่มได้ แม้มีจำนวนพนักงานไม่มาก, มีพันธมิตรอย่าง Baker Mckenzie ที่พร้อมให้คำปรึกษาในเรื่องของกฎหมายที่เกี่ยวข้องในเรื่องของการดำเนินธุรกิจแบบรอบด้าน รวมไปถึง Beacon Venture Capital ที่พร้อมสนับสนุนเงินลงทุนให้แก่สตาร์ทอัพที่มีศักยภาพอีกด้วย
นายธนพงษ์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (Beacon Venture Capital) กล่าวถึงโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้ออำนวยให้สตาร์ทอัพของไทยเติบโตในปัจจุบันนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ แต่เรายังขาด Success Case ที่โดดเด่น เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอย่าง สิงคโปร์ อินโดนีเซีย หรือเวียดนาม เราอาจจะมีสตาร์ทอัพที่อยู่ในขั้นเริ่มต้นอย่าง Seed Stage น้อยเกินไป จึงทำให้จำนวนที่จะพัฒนาไปสู่ซีรี่ส์ A และขั้นที่สูงขึ้นมีน้อยตามไปด้วย ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่จะมองหาโอกาสลงทุนในสตาร์ทอัพตั้งแต่ระดับซีรี่ส์ A ขึ้นไป
ปัจจุบันก็มีหน่วยงาน และบริษัทหลายองค์กรเล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องนี้ จัดโครงการอบรม ให้ความรู้เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของสตาร์ทอัพไทยให้สูงขึ้น เราจึงมีแนวคิดที่จะช่วยต่อยอดเสริมศักยภาพของสตาร์ทอัพเหล่านั้น ด้วยการจัดตั้งโครงการ KATALYST ขึ้นมา และพร้อมลงทุนในสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพในการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการเงินและเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของธนาคารกสิกรไทย โดยปัจจุบันบีคอน วีซี ได้ลงทุนไปแล้วในสตาร์ทอัพ 7 บริษัท คือ FlowAccount, Ookbee, Eventpop, Grab, InstaReM, Jitta และ Horganice และตั้งเป้าลงทุนในสตาร์ทอัพโครงการ KATALYST อีกปีละ 2-3 ราย
การเปิดตัวโครงการนี้เป็นกลยุทธ์แบบ วิน-วิน ที่ธนาคารกสิกรไทย ได้เข้าไปลงทุนในสตาร์ทอัพที่สามารถพัฒนาสินค้าและบริการได้อย่างรวดเร็ว ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าธนาคาร โดยที่สตาร์ทอัพก็ได้เพื่อนสนิทอย่าง KATALYST ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือแบบรอบด้าน ทั้งคำปรึกษา แผนธุรกิจ และการเข้าถึงเงินลงทุน ส่งผลให้ลูกค้าได้รับสินค้าและบริการที่ช่วยให้ชีวิตมีความสะดวกสบายขึ้นตามไปด้วย
ข้อมูลเพิ่มเติม
https://katalyst.kasikornbank.com/