AI ในงาน Marketing!

เคยหนีแฟนหรือหนีภรรยาเที่ยวมั้ยครับ? ว่ากันว่า ผู้หญิงมีสัญชาตญาณอะไรบางอย่าง ในการจับการหนีเที่ยวของผู้ชายเป็นอย่างมาก หรือเธอจะมีเซ็นเซอร์จับอุณภูมิมีจมูกจับกลิ่นพิเศษมีกุมารทองคอยติดตาม? อันนี้ก็ไม่ทราบได้จริงๆ  แต่ผมเชื่อว่าเธอต้องมีการประมวลผลในเรื่องนี้  เหนือล้ำกว่า AI แน่ๆ!

เป็นที่ทราบกันทั่วไป ในขณะนี้  ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือ AI มีวิวัฒนาการ พัฒนาอย่างก้าวกระโดดมากๆ ในกิจกรรมบางอย่าง  AI ในยุคนี้ มีขีดความสามารถพัฒนาเหนือมนุษย์ไปแล้ว  เช่น  การเล่นโก๊ะ, เล่นหมากรุก, เล่นเกมส์  ฯลฯ

หลายคนสงสัย แล้ว AI มันทำงานอย่างไร ทำไมมันถึงฉลาดเช่นนี้?  วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังแบบง่ายๆ  “สไตล์โซวบักท้ง”ให้ฟังครับ

ขอยกตัวอย่าง  เคส ของการพัฒนา AI สำหรับการวิเคราะห์อาการโรคตา ของ Google ครับ
Google ทำโครงการนี้ขึ้นมา โดยหวังยกระดับ สนับสนุนวงการการจักษุแพทย์ขึ้นไปอีกขั้น  (หรือสนับสนุนให้จักษุแพทย์ ตกงานก็ไม่ทราบได้)

ขั้นแรก Google ทำการรวบรวมภาพถ่ายเอ็กซ์เรย์ตา ผู้ป่วยทั้งหมดขึ้นมาก่อน นับเป็นจำนวนหลายล้านรูป  เสร็จแล้วก็ค่อยๆ ทำการติดป้ายรูปทีละรูป ว่ารูปตาแต่ละรูปนั้น ป่วยเป็นโรคอะไร

ไม่เพียงแค่นั้น ในแต่ละรูปนั้นนอกจากจะมีการระบุว่าเป็นโรคตาอะไรแล้ว  ยังมีการเรตระดับอีกด้วยว่า มีอาการป่วยสาหัสในระดับใด  โดยแบ่งเป็น 5 ระดับ  เริ่มตั้งแต่ 1 ป่วยไม่มาก  จนไปถึง 5 ป่วยขั้นวิกฤติ

พอทำการติดป้ายรูปทั้งหมดเสร็จ  ก็จัดการนำ Data ทั้งหมดที่มี  ใส่ลงไปในคอมพิวเตอร์  ปล่อยให้ AI  มันเรียนรู้หาความสัมพันธ์ของรูปถ่ายกับป้ายชื่อ ที่เราจัดทำขึ้น 

ถึงตรงนี้ขอข้ามขั้นตอนการทำงานของอัลกอริทึมอันซับซ้อนของ AI ไป เพื่อความเรียบง่าย แต่เอาเป็นว่าจากข้อมูลรูปถ่ายและป้ายชื่อ ที่เราพยายามคีย์ลงไปในคอมพิวเตอร์  เจ้า AI มันสามารถหาความสัมพันธ์ ผูกออกมาเป็นสูตรสมการแบบอัตโนมัติ  โดยอาจจะดูอาการป่วยด้วยสีของตาขาว, สีของตาดำ, ขอบตา, ขนตาเส้นที่ 18 ด้านบน  ฯลฯ  หลายๆอย่างประกอบกันเข้า

พอเจ้า AI ได้สูตรสมการปุ๊บ ทีนี้พอเรานำรูปถ่ายรูปใหม่ ให้เจ้า AI พิจารณาดู  AI ก็สามารถบอกได้ทันทีว่า รูปถ่ายใบนี้ ป่วยเป็นโรคตาอะไร  สาหัสในระดับไหน

ดังนั้น ถ้าจะว่ากันด้วย process ของการสร้าง AI ก็จะมีแค่ 3 ขั้น
1.รวบรวมดาต้า พร้อมติดป้ายข้อมูล
2.คีย์เข้าคอมพิวเตอร์ ปล่อยให้ AI  เรียนรู้
3. AI สร้างสมการ ในการจับคู่ดาต้า กับป้ายข้อมูล ที่เราจัดทำขึ้น

น่าจะพอเข้าใจขั้นตอนในการพัฒนา AI แบบง่ายๆกันแล้วใช่มั้ยครับ?

ในเคสของ AI  เล่นโก๊ะ เล่นหมากรุก ก็เช่นกัน เราก็แค่คีย์รูปแบบการเล่นหลายๆ แบบเข้าใปในคอมพิวเตอร์  (ว่ากันว่าหลายร้อยล้านรูปแบบ)  พร้อมกับติดป้ายบอกมันว่า เล่นแบบนี้จะแพ้ เล่นแบบนี้จะชนะ   ท้ายสุดเจ้า AI ก็จะได้สมการสุดล้ำ แม่นยำจนมนุษย์ไม่สามารถเอาชนะได้

ทีนี้คำถามก็คงจะถามกลับกันมาว่า เราจะใช้ AI ในการทำการตลาดได้อย่างไร?

ที่จริงเราสามารถเอา AI มาใช้ประโยชน์ในงานการตลาดได้หลายรูปแบบครับ  แต่เบสิคที่สุด คือ ทำการหาว่าใครคือ ลูกค้าที่จะมาซื้อสินค้าของเรา?

สมมติว่าเรามี  Data ของคนกลุ่มหนึ่งใน CRM ของเราอยู่แล้ว โดยปกติ เรามักจะเก็บข้อมูลประเภท  ชื่อ นามสกุล  ที่อยู่  เบอร์โทร  อีเมล์  หรือ ประวัติการสั่งซื้อ กันเป็นเสียส่วนใหญ่  ซึ่งเอาจริงๆ  ถ้าเรามีข้อมูลเพียงแค่นี้   แล้วมานั่งติดป้ายว่า คนไหนคือลูกค้า คนไหนไม่ใช่ลูกค้า  ก็ออกจะดูจะเป็นเรื่องยากสำหรับ AI  อยู่เหมือนกันครับ  ที่จะหาความสัมพันธ์ สร้างสมการได้ว่า คนไหนคือลูกค้า  คนไหนไม่ใช่ลูกค้า

แต่ถ้าข้อมูลของเรา มีความละเอียดเพียงพอ เช่น  รายชื่อนี้เคยคลิกเข้ามาดูเว็บไซต์หรือไม่?  อ่านบทความอะไรในเว็บไซต์?  เคยเข้ามา Facebook ของเราหรือไม่? กดไลค์ content อะไร?  เคยคลิกดูแบนเนอร์โฆษณาของเราหรือไม่?  ฯลฯ ถ้าเป็นแบบนี้   AI ก็น่าจะพอสร้างสมการได้ใช่มั้ยครับ ว่าใครมีโอกาสที่จะมาเป็นลูกค้าของเราบ้าง

กล่าวโดยสรุปก็คือ  AI จะเริ่มมีประโยชน์กับการทำการตลาดมากๆ  ถ้าเรามีฐานข้อมูลขนาดใหญ่ และ มีความละเอียดเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลในลักษณะของเชิงพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายของเรา

ต่อให้  AI  มีความฉลาดล้ำเพียงใด  แต่ทว่าเรามีข้อมูลไม่มากพอ ไม่ละเอียดพอ   AI  ก็ใบ้รับประทานเหมือนกัน  แล้ววันนี้องค์กรของคุณมีความพร้อมในการจัดเก็บ Data เพื่อเริ่มนำ AI มาใช้ในการทำการตลาดหรือยัง?

ว่าแล้วก็ต้องขอไปศึกษา การอัลกอริทึม ของภรรยาก่อนแป๊บ หนีเที่ยวทีไร ทำไมจับได้ทุกครั้ง
งานนี้ต้องแอบไปสลับป้าย!!