“ทรูวิชั่นส์” ลั่นกลับมาบริหาร “พรีเมียร์ลีก” รอบ 6 ปี ต้อง “คุ้มทุน” ชู “ออมนิ แชนแนล” หนุนรายได้ ยิงสด PPTV 30 แมตช์

ประกาศคว้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019/20 – 2021/22 ในประเทศไทยถือเป็น King of Content ในฝั่งกีฬาฟุตบอลไปเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา นับเป็นการกลับมาบริหารลิขสิทธิ์เต็มรูปแบบอีกครั้งในรอบ 6 ปี ของ “ทรูวิชั่นส์” ที่ปั้นฐานแฟนฟุตบอล EPL มาเกือบ 30 ปีตั้งแต่เริ่มธุรกิจเพย์ทีวี

“พรีเมียร์ลีก อังกฤษ” ถือเป็นลีกการแข่งขันฟุตบอลที่ได้รับความนิยมและมีผู้ติดตามชมมากที่สุดในโลก “ทรูวิชั่นส์” ถือลิขสิทธิ์ลีกดังตั้งแต่ทำธุรกิจเพย์ทีวีเกือบ 30 ปี เว้น 3 ฤดูกาลปี 2013 – 2016 ที่อยู่ในมือ CTH ด้วยการทุ่มประมูลกว่า 9,000 ล้านบาท เป็นครั้งแรกที่ พรีเมียร์ลีก ไม่ได้อยู่ในเพย์ทีวี “ทรูวิชั่นส์” และท้ายที่สุดธุรกิจเพย์ทีวี CTH ก็ไปไม่รอด แม้มี King of Content ในมือ

จากนั้น 3 ฤดูกาลในปี 2016 – 2019 ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ตกอยู่ในมือ beIN Sports ที่ร่วมเป็นพันธมิตรถ่ายทอดสดช่องทาง “เพย์ทีวี” ผ่านทรูวิชั่นส์ ถือเป็นการคืนสู่แพลตฟอร์มอีกครั้งของลีกดัง แต่การบริหารยังอยู่ในมือ beIN Sports

หลังจากดีลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาลใหม่ ปี 2019 – 2022 ในประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ของ “เฟซบุ๊ก” ที่ประกาศคว้าลิขสิทธิ์ลีกดังต้อง “ล่ม” จนต้องมีการเปิดประมูลใหม่ ครั้งนี้ “ทรูวิชั่นส์” เป็นผู้คว้าลิขสิทธิ์ด้วยราคาต่ำกว่าที่เฟซบุ๊กเสนอ และเป็นราคาที่ “พอใจ”

พีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา

หวังพรีเมียร์ลีกหนุนธุรกิจ “คุ้มทุน”

พีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านคอนเทนต์และมีเดีย บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า การได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาลใหม่ ถือเป็นการกลับมาบริหารลิขสิทธิ์ลีกดัง แบบ All Right จากพรีเมียร์ลีก อังกฤษโดยตรงอีกครั้งในรอบ 6 ปี สามารถออกอากาศครบทั้ง 380 แมตช์ตลอดฤดูกาล ได้ทุกแพลตฟอร์มทั้งเพย์ทีวี ฟรีทีวี ออนไลน์ OTT รับชมผ่านจอทีวีและสมาร์ทดีไวซ์ ทั้งชมสดและรีรัน

“การกลับสู่ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ปของลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ครั้งนี้ วางเป้าหมายผลักดันลีกดังให้กลับมาได้รับความนิยมสูงสุดอีกครั้ง และจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีของทรูวิชั่นส์ ที่กล้าตั้งเป้าหมายคุ้มทุน”

พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง แต่การทำตลาดในช่วงที่ไม่ได้อยู่กับทรูวิชั่นส์ อาจไม่ครอบคลุมฐานผู้ชมทั้งหมดที่เคยเข้าถึงลีกดัง แต่คนที่ชื่นชอบพรีเมียร์ลีกยังมีอยู่จำนวนมาก

ชู Omni Channel เจาะ 20 ล้านผู้ชม

กลยุทธ์การทำตลาด พรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาลใหม่ เป็นรูปแบบ Omni Channel Omni Platform เป็นการ Synergy การรับชมลีกดังในทุกช่องทางทั้ง ออฟไลน์และออนไลน์ ผ่านทุกแพลตฟอร์มในเครือทรู ทั้งเพย์ทีวี ทรูออนไลน์ ทางเว็บไซต์บนโน้ตบุ๊คหรือแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน ผ่าน ทรูไอดี และ TrueID Box ที่สามารถรับชมได้ทุกที่ทุกเวลา ส่วนทีวีดิจิทัล ทรูโฟร์ยูและทีเอ็นเอ็น จะเป็นช่องทางนำเสนอคลิปคอนเทนต์ก่อนเกมและและหลังเกมแข่งขัน เพื่อช่วยโปรโมตลีกดัง

ขณะที่การถ่ายทอดสดทาง “ทีวีดิจิทัล” PPTV เป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดรวม 30 แมตช์ตลอดฤดูกาล

ความแตกต่างของการบริหารลิขสิทธิ์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ครั้งนี้ อยู่ที่แพลตฟอร์ม OTT ทรูไอดี ที่สามารถรับชมได้ทุกเครือข่ายมือถือ ปัจจุบันมีผู้ดาวน์โหลด ทรูไอดี ไปแล้วกว่า 15 ล้านราย โดยเป็นแอปที่สามารถดูพรีเมียร์ลีกบนมือถือได้ฟรี 100 แมตช์ตลอดฤดูกาล

นอกจากนี้ ทรูไอดี ยังมีแพ็กเกจดูครบตลอดฤดูกาล 2,500 บาท รายเดือน 319 บาท รายสัปดาห์ 179 บาท และรายวัน 99 บาท ส่วนแพ็คเกจ ทรูออนไลน์ พร้อมกล่องทรูไอดีทีวี ดูพรีเมียร์ลีกฟรีทุกสัปดาห์ ราคา 999 บาทต่อเดือน

ส่วน ทรูวิชั่นส์ ซึ่งปัจจุบันมีฐานสมาชิก 4 ล้านราย แพ็กเกจแพลตินัมดูฟรีทั้ง 380 แมตช์ตลอดฤดูกาล แพ็กเกจเสริม ทรู พรีเมียร์ ฟุตบอล เอชดี พลัส ราคา 399 บาทต่อเดือน โกลด์ 199 บาทต่อเดือน และแพ็กเกจอื่นๆ 299 บาทต่อเดือน

“การบริหารลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกทุกแพลตฟอร์มตลอด 3 ฤดูกาลใหม่ ทำให้ลีกดังเข้าถึงผู้ชมกว่า 20 ล้านรายในประเทศไทย โดยเฉพาะ OTT และจะผลักดันรายได้ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป ให้กลับมาเติบโตอีกครั้งตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป”

นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากสปอนเซอร์ชิป 6 พันธมิตร คือ ทรู คอร์ปอเรชั่น, สิงห์ คอร์เปเรอชั่น, ซีพี ออลล์, เอ.พี. ฮอนด้า, ซีพีเอฟ และสยามแมคโคร ที่จะทำแคมเปญการตลาดทั้งบนหน้าจอ ออนไลน์ และจัดกิจกรรมร่วมกันตลอด 3 ฤดูกาล

สำหรับนัดเปิดสนามเป็นโปรแกรม “ฟรายเดย์ไนท์” คืนวันศุกร์ที่ 9 ส.ค. ระหว่าง ลิเวอร์พูล พบกับ นอริช ซิตี้ ต่อด้วยโปรแกรมวันเสาร์ที่ 10 ส.ค. อีก 7 คู่ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด พบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, บอร์นมัธ พบ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด, เบิร์นลีย์ พบ เซาแธมป์ตัน, คริสตัล พาเลซ พบ เอฟเวอร์ตัน, เลสเตอร์ ซิตี้ พบ วูล์ฟแฮมป์ตัน, วัตฟอร์ด พบ ไบรจ์ตัน, ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ พบ แอสตัน วิลลา ปิดท้ายด้วยเกมวันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม 2 คู่ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด พบ อาร์เซนอล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบ เชลซี ถ่ายทอดสดผ่านทรูวิชั่นส์ 6 ช่อง