ปัจจุบันพลังงานไฟฟ้ามีบทบาทสำคัญต่อการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของคนเราและช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของทุกประเทศทั่วโลก ส่งผลให้การใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การผลิตไฟฟ้าที่ผ่านมามีข้อจำกัดต้องพึ่งพิงเชื้อเพลิงในการผลิตจากฟอสซิลเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือถ่านหิน ซึ่งในที่สุดฟอสซิลก็จะหมดลงในอนาคต ดังนั้นทุกประเทศ จึงมุ่งหานวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาแทนที่จนทำให้ธุรกิจพลังงานกลายเป็นเป็นอุตสาหกรรมที่ถูก Disrupt โดยเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว
ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน นับเป็นเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงจนเป็นเทรนด์ของโลก โดยเฉพาะไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาที่อยู่อาศัย (โซลาร์รูฟ) เนื่องจากตอบโจทย์ที่แสงอาทิตย์ไม่มีวันหมด เป็นพลังงานสะอาด และยังมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่นับวันก็ยิ่งถูกกว่าต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากฟอสซิลมากขึ้น ด้วยปัจจัยเหล่านี้ จึงทำให้เทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) มาแรงแซงโค้งเมื่อเทียบกับไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ เช่น ลม ชีวมวล ฯลฯ แต่จุดอ่อนคือการผลิตที่ไม่สม่ำเสมอ
สำหรับประเทศไทยนั้น มีการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนตามแผนพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP 2015) ซึ่งขณะนี้เตรียมปรับปรุงสู่แผนใหม่หรือ AEDP 2018 และยังกำหนดนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มุ่งสู่การนำนวัตกรรมมาปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต และแน่นอนว่าหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ถูกกำหนดไว้คือ ยานยนต์ไฟฟ้า เพราะโลกกำลังมุ่งไปสู่ทิศทางดังกล่าว ทำให้กลุ่ม ปตท. ในฐานะบริษัทพลังงานของประเทศ ที่ดูแลความมั่นคงด้านพลังงาน จึงมองการขยายโอกาสไปยังธุรกิจใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ทิศทางการใช้พลังงานในอนาคตและนโยบายรัฐ
การลงนามของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กับ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ในฐานะแกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. เมื่อเร็วๆ นี้ ในสัญญา “โครงการวิจัยและพัฒนาโรงงานผลิตแบตเตอรี่ต้นแบบ (Pilot Plant) ด้วยเทคโนโลยีเซมิ-โซลิด (Semi-Solid)” จึงนับเป็นการปูพรมเส้นทางที่จะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายของธุรกิจใหม่ในอนาคต ในการต่อยอดเทคโนโลยีแบตเตอรี่หรือระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) เพื่อปิดจุดอ่อนของพลังงานหมุนเวียนที่ไม่สามารถผลิตไฟได้ต่อเนื่อง เพราะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและกลไกทางธรรมชาติ
ด้วยตลาดแบตเตอรี่เริ่มเป็นที่ต้องการของหลายภาคธุรกิจ ทั้งเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพ การลดต้นทุน การบริหารจัดการพลังงานภายในชุมชน หรือเมือง ในรูปแบบ Smart Energy ส่งผลให้ ปตท. และ GPSC มีแนวคิดสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ต้นแบบ เพื่อต่อยอดไปสู่กระบวนการผลิตเชิงพาณิชย์ได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเริ่มที่การตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ต้นแบบด้วยกระบวนการผลิต Semi-Solid ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท 24 M Technology ที่ GPSC เข้าไปร่วมลงทุน เพื่อให้การดำเนินงานรวดเร็ว และสะดวกต่อการพัฒนาพร้อมนักวิจัย
ในเบื้องต้น ได้วางกรอบการดำเนินการในระยะเวลา 2 ปี ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 2/2563 ด้วยมีกำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์ต่อชั่วโมง ซึ่งโรงงานต้นแบบนี้สามารถผลิตแบตเตอรี่สูตร LFP เพื่อใช้งานภายในบ้านที่อยู่อาศัย และแบตเตอรี่ Lithium Nickel Manganese Cobalt Oxide หรือ NMC สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้
ทั้งนี้เทคโนโลยี Semi-Solid เป็นคำตอบของนวัตกรรมการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบใหม่ของ 24M Technology จุดเด่นอยู่ที่กระบวนการออกแบบเซลล์แบตเตอรี่ให้มีความปลอดภัยสูง และสามารถลดขั้นตอนกระบวนการผลิตได้มากกว่า 50% ส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตลดลง รวมถึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะสามารถนำวัสดุบางอย่างกลับมาใช้ได้ใหม่
“ไฟฟ้าเป็นพลังงานที่กักเก็บไม่ได้ หรือกักเก็บได้ก็ยังมีต้นทุนที่สูงอยู่ ขณะเดียวกันเราจะใช้ไฟได้ก็ต้องมีระบบสายส่งไปถึงบ้านเรือนเรา สิ่งเหล่านี้เป็นความท้าทายว่าเราจะทำเรื่องนี้ได้อย่างไร ขณะที่โลกกำลัง MOVE ไปหาพลังงานหมุนเวียนเพราะไม่มีประเด็นเรื่องการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยในอนาคต หากโรงงานต้นแบบสำเร็จแล้ว เชื่อว่ากลุ่ม ปตท. จะลงทุนสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ดังกล่าว แต่เป็นขนาดเล็ก เพื่อใช้ในพื้นที่เขตนวัตกรรมเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECi เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความต้องการใช้แบตเตอรี่สำหรับผลิตไฟฟ้าสูงก่อน” นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ GPSC กล่าวด้วยความมุ่งมั่น
อย่างไรก็ตาม GPSC ร่วมกับ ปตท. ได้มีการทดลองนำร่องดำเนินการพัฒนา Smart Energy Community ในพื้นที่ EECi วังจันทร์วัลเล่ย์ จังหวัดระยอง ซึ่งจะมีการติดตั้งโซลาร์รูฟ และโซลาร์ลอยน้ำ มีการใช้บล็อกเชนมาใช้ในการซื้อขายไฟฟ้าแต่ละอาคารและมีการใช้เทคโนโลยี AI ในการติดตามสภาวะอากาศที่เหมาะสมในการผลิตและเลือกใช้แหล่งผลิตไฟฟ้าที่เหมาะสม เป็นต้น
และนี่คือ Journey ของกลุ่ม ปตท. ในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมไฟฟ้าในอนาคต ซึ่งถือเป็นเพียงแค่การเดินทางเริ่มต้น แต่ยังคงมีจุดหมายปลายทางที่ต้องการรออยู่นั่นคือ การก้าวไปสู่เทคโนโลยีธุรกิจไฟฟ้าใหม่ๆ ที่เป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ ที่จะมีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจไทยให้มั่นคงต่อไป
ข้อมูลเกี่ยวกับ GPSC
GPSC ถือหุ้นโดย บมจ.ปตท. (PTT) ในสัดส่วน 22.6% บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) 22.7% บมจ.ไทยออยล์ (TOP) 8.9% บจ. ไทยออยล์ พาวเวอร์ (TP) 20.8% และนักลงทุนทั่วไป 25%
GPSC แกนนำในการดำเนินธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภคของกลุ่ม ปตท. ดำเนินธุรกิจหลักในการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ไอน้ำ และสาธารณูปโภคต่างๆ เพื่อจำหน่ายแก่ลูกค้าอุตสาหกรรม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยปัจจุบัน มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้น (Equity MW) รวมประมาณ 4,986 เมกะวัตต์ ไอน้ำรวมประมาณ 2,876 ตันต่อชั่วโมง น้ำเย็นรวมประมาณ 15,400 ตันความเย็น และน้ำเพื่อการอุตสาหกรรมรวมประมาณ 7,372 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง