สิงห์ เอสเตทเตรียมส่ง SHR หรือ “เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท” เข้า IPO ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ เพื่อระดมทุนสร้างการเติบโตของธุรกิจโรงแรม สร้างความแข็งแกร่งให้บริษัทแม่
SHR ผู้บริหารธุรกิจโรงแรมในเครือสิงห์ เอสเตท
ในวงการอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีอะไรใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นออกมาให้เห็นเป็นประจำทุกปี ทำให้การแข่งขันมากขึ้นทุกปีเช่นกัน ทำให้ได้เห็นผู้เล่นในตลาดต่างงัดไม้เด็ดออกมาดึงดูดใจผู้บริโภค รวมถึงนักลงทุนกันมากมาย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เป็นอีกหนึ่งผู้เล่นใหญ่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่ปัจจุบันได้วางจุดยืนเป็น Global Holding Company ที่เน้นการลงทุนใน 3 เสาธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย (Residential Development) ธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก (Commercial & Retail) และธุรกิจโรงแรม (Hospitality) ซึ่งทุกธุรกิจยังคงเติบโตต่อเนื่องอย่างมั่นคง แต่กลุ่มที่ดูเหมือนว่าจะมีสีสันมากที่สุดเห็นจะเป็นกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้เตรียมที่จะเข้า IPO เพื่อระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้ได้เห็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างแน่นอน
ซึ่งกลุ่มธุรกิจโรงแรมได้บริหารงานภายใต้ “บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน)” หรือ SHR แรกเริ่มเดิมทีเริ่มต้นจากการมีโรงแรมเพียงแค่ 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรม พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ท และโรงแรมสันติบุรี เกาะสมุย จากนั้นได้สร้างการเติบโตมากขึ้นจนในปัจจุบันมีโรงแรมทั้งหมด 39 แห่ง ใน 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย สหราชอาณาจักรสาธารณรัฐมัลดีฟส์ สาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ และสาธารณรัฐมอริเชียส มีห้องพักรวมทั้งสิ้นจำนวน 4,647 ห้องทั่วโลก ภายใต้โรงแรมทั้งหมด 7 แบรนด์ ถือว่าเป็นแบรนด์ในอุตสาหกรรม Hospitality ที่เติบโตสูงที่สุด มีจำนวนห้องพักเติบโตเฉลี่ย 82.9%
การลงทุนของ SHR มีทั้งรูปแบบลงทุนด้วยตัวเอง และการซื้อกิจการ ในปี 2559ได้ร่วมทุนกับกลุ่มทุนในกลุ่มโรงแรมในสหราชอาณาจักรจำนวน 29 แห่ง ที่ดำเนินงานภายใต้แบรนด์ Mercure และแบรนด์ Holiday Inn โดยที่ SHR มีเงินลงทุนร่วมเป็นเจ้าของโรงแรมในสัดส่วน50%
ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาเรียกว่ามีสีสันมากขึ้น สยายปีกในการลงทุนมากขึ้น ในปี 2561 ได้ลงทุนซื้อกิจการโรงแรม Outrigger 6 แห่งใน 4 ประเทศ ด้วยงบลงทุน 310 ล้านเหรียญ และการเปิดตัว CROSSROADS เฟส 1 นับเป็นโครงการลงทุนต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทฯ งบลงทุน 350 ล้านเหรียญในเฟส 1
โครงการ CROSSROADS เฟส 1 เป็นการพัฒนาโครงการบนเกาะจำนวน 3 เกาะ ตั้งอยู่ ณ Emboodhoo Lagoon ในสาธารณรัฐมัลดีฟส์ ประกอบด้วยโรงแรมซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรม SAii Lagoon Maldives, Curio Collection by Hilton และโรงแรม Hard Rock Hotel Maldives รวมถึงศูนย์รวมการให้บริการ (complex) เพื่อการพักผ่อนและสิ่งบันเทิงภายใต้ในโครงการ Marina @ CROSSROADS และเกาะที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นโรงแรมอีก 1 เกาะเพื่อรองรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะที่ผ่านมาและมีศักยภาพในการเติบโตต่อเนื่องซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจของรัฐบาลมัลดีฟส์
สามารถสรุปภาพรวมการลงทุนของ SHR มีทั้งหมด 4 โมเดลด้วยกันได้แก่
- โรงแรมที่เป็นเจ้าของและบริหารเอง โดยใช้แบรนด์ของ SHR ซึ่งได้แก่ โรงแรม พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ท และ โรงแรมสันติบุรี เกาะสมุย
- โรงแรมที่บริหารผ่าน Franchise Agreement กับแบรนด์ระดับโลก เช่น Hardrock Hilton Mercure และ Holiday Inn สามารถขายโรงแรมผ่านช่องทางของแบรนด์ทั่วโลกได้ ขยายไปถึงฐานลูกค้าได้เกิน 100 ล้านคน
- โรงแรมที่บริหารผ่านสัญญาบริหารจัดการโรงแรม เช่น โรงแรมในกลุ่ม Outrigger
โรงแรมที่บริหารผ่านแบรนด์ที่ SHR สร้างขึ้นมาเองโดยปัจจุบันSHR ได้พัฒนาแบรนด์ “SAii” และใช้ประกอบกิจการโรงแรมแห่งใหม่ ที่ตั้งอยู่ในโครงการ Crossroads เฟส 1 โดยมีชื่อว่า “SAii Lagoon Maldives, Curio Collection by Hilton” และยังมีแผนที่จะพัฒนาแบรนด์อื่นๆ สำหรับโรงแรมระดับ Upper Mid-Scale ในประเทศไทย และในระดับภูมิภาค ซึ่งจะนำไปสู่การต่อยอดไปเป็นผู้ให้บริหารจัดการโรงแรมของผู้ประกอบการอื่นในอนาคต
สร้างความต่างด้วยโลเคชั่นที่ให้ประสบการณ์ท่องเที่ยวไม่เหมือนใคร
แน่นอนว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจโรงแรมย่อมมีการแข่งขันที่สูงมากทั้งในประเทศ และต่างประเทศ สิ่งสำคัญคือแบรนด์ต้องสร้างจุดแข็ง และสิ่งที่ดึงดูดผู้บริโภคให้ได้ สิ่งที่ SHR มองก็คือการสร้างความต่างด้วยการเลือกโลเคชั่นที่เหมาะกับธุรกิจท่องเที่ยว และจับกลุ่มคนท่องเที่ยวที่ต้องการไปพักผ่อนจริงๆ
เดิร์ก อังเดร ลีน่า คุยเบอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR เล่าว่า “SHR วางจุดยืนในการจับกลุ่มคนชอบไปพักผ่อน ไปท่องเที่ยว ตอบโจทย์กับ Travel Economy ที่มีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้มีมูลค่าตลาดถึง 8,250 ล้านเหรียญสหรัฐและต้องการจับกลุ่มคนรุ่นใหม่เจนมิลเลนเนียลที่มีไลฟ์สไตล์ชอบไปท่องเที่ยว สัมผัสประสบการณ์ คนกลุ่มนี้ลงทุนกับการท่องเที่ยวมากกว่าซื้อทรัพย์สินหรือบ้านโลเคชั่นที่ SHR เลือกไปลงทุนตอนนี้มี 5 ประเทศ ล้วนเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวทั้งสิ้น ต้องการมอบประสบการณ์ที่แปลกใหม่ และยังให้เรื่องความสนุก เรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อม มีส่วนร่วมกับชุมชนด้วย
จับอินไซต์ด้วย Instagram Hotel ทุกมุมต้องถ่ายรูปได้
SHR มีการสร้างแบรนด์ขึ้นมาเองในชื่อ SAii แน่นอนว่าก่อนที่จะคลอดโครงการนี้ออกมา ต้องมีการทำวิจัย ศึกษาพฤติกรรม และความต้องการของผู้บริโภคมาอย่างเต็มที่ ความน่าสนใจคือการที่ดีไซนืได้จับจริตคนรุ่นใหม่ โดยการเอาอินไซต์เรื่องการชอบถ่ายรูป การแชร์ลงโซเชียลมีเดียมาเป็นส่วนประกอบ แล้วใช้คอนเซ็ปต์ง่ายๆ ว่า Instagram Hotel นั่นคือต้องทำให้ทุกมุมของโรงแรมถ่ายรูปได้สวยที่สุด!
“กว่าจะสร้างแบรนด์ SAii ให้เป็นที่รู้จัก เรามีการทำวิจัยตลาดเยอะมาก จุดสำคัญว่าทำโรงแรมคืออะไร โจทย์ของเราคือสร้างสำหรับกลุ่มมิลเลนเนียล ใช้คอนเซ็ปต์ Instagram Hotel ทำให้ทุกมุมของโรงแรมถ่ายรูปได้ พอมีดาราไปเที่ยวเยอะขึ้นก็มีการแชร์ต่อๆ กันไป เชื่อว่าทุกคนที่ไปเที่ยวอยากแชร์ประสบการณ์ นั่นคือสิ่งที่เราสร้างมาก็เพื่อสิ่งนี้ถ้าไปโรงแรมนี้จะวางมือถือไม่ได้”
นอกจากคอนเซ็ปต์เรื่องการดีไซน์แล้ว โรงแรมของ SHR ยังวางจุดยืนในการโฟกัสกลุ่ม Upscale หรือ Upper Upscale เป็นเทรนด์การท่องเที่ยวของคนรุ่นใหม่ ที่ไม่ใช่โรงแรม 3 ดาว แบบ Budget Hotel หรือหรูหราระดับ 6 ดาว แต่เป็นตลาดของไลฟ์สไตล์ ให้ความพิเศษเรื่องประสบการณ์มากกว่า หรืออาจจะเทียบเท่าโรงแรมประมาณ 4 ดาว แต่ไม่ถึงกับระดับลักชัวรี่ โรงแรมกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มิลเลนเนียลมองหามากสุด เติบโตเร็วมากที่สุด SHR จึงเลือกยุทธศาสตร์นี้
อัพสเกลเพิ่มโรงแรมเป็นกว่าเท่าตัวในปี 2568
ในปัจจุบัน SHR มีโรงแรมทั้งหมด 39 แห่ง มีแผนเพิ่มเป็น 80 แห่งภายในปี 2568 โดยที่เน้นในประเทศไทย จากนั้นจึงขยายไปโซนเอเชียแปซิฟิค, บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย และแถบเมดิเตอเรเนียน เดิร์ก เสริมว่า ก่อนที่จะเข้าลงทุนในประเทศไหนจะมีการศึกษาข้อมูลแต่ละประเทศก่อน ต้องเข้าใจเศรษฐกิจมหภาคของทั้งประเทศ ต้องรู้ว่าประเทศรองรับเศรษฐกิจท่องเที่ยวแบบไหน จำนวนนักท่องเที่ยวแต่ละปีเติบโตแค่ไหน ต้องรู้ว่าตอนนี้มีจำนวนห้องพักทั้งประเทศมีเท่าไหร่ แล้วมีการเติบโตอย่างไรมีการศึกษาทุกแง่มุม
เตรียม IPO ดึงนักลงทุนมาเป็นครอบครัวเดียวกัน
การที่จะติดปีกขยายการลงทุนไปถึงกว่า 80 โรงแรมได้นั้น SHR จำเป็นต้องมีพาร์ทเนอร์ และมีนักลงทุนที่สนใจในการขยายธุรกิจร่วมกัน ซึ่งอีเวนท์ที่สำคัญก็คือในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ สิงห์ เอสเตท มีแผนที่จะนำ บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อขยายกลุ่มธุรกิจโรงแรมมุ่งสู่การเป็นผู้ลงทุนและบริหารจัดการโรงแรมชั้นนำในระดับนานาชาติ (Premier Hotel Investment & Resort Management Company)
โดยที่สิงห์ เอสเตทจะวางตัวเป็น Global Holding Company และหลังจากที่ SHR เข้า IPO ก็จะยังคงถือหุ้นใหญ่ 60% อยู่ การระดมทุนครั้งนี้จะช่วยสร้างการเติบโต และความแข็งแกร่งให้กับบริษัทแม่ได้ด้วยเช่นกัน ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รายได้ของ SHR เติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 63.1% โดยในปี 2559 มีรายได้968.0 ล้านบาท ปี 2560 มีรายได้ 1,074.0 ล้านบาท และปี 2561 มีรายได้ 2,575.7 ล้านบาท
สำหรับงวดสิ้นสุด 6 เดือนแรกปี 2562 รายได้จากดำเนินงานตามงบการเงินรวมของ SHR เท่ากับ 1,751.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 144.8% จาก 715.6 ล้านบาท ของช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สาเหตุสำคัญของการเติบโตของรายได้ของ SHR ได้แก่ การลงทุนใน Outrigger Resorts เมื่อเดือนมิถุนายน 2561 และผลประกอบการที่ดีขึ้นของโรงแรมที่บริษัทฯ บริหารจัดการเอง ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของ SHR แบ่งเป็น โรงแรมที่ SHR บริหารผ่านสัญญาบริหารจัดการโรงแรมกับกลุ่ม Outrigger คิดเป็น 60% โรงแรมที่ SHR บริหารเองคิดเป็น 30% และโรงแรมในสหราชอาณาจักรคิดเป็น10%โดยที่ในปี 2561 SHR มีสัดส่วนรายได้ 34% ของสิงห์ เอสเตท
การลงทุน หรือการเปิดตัวโครงการใหม่ของเอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) ช่วยตอกย้ำในฐานะที่เป็นผู้ลงทุนและบริหารจัดการโรงแรมชั้นนำในระดับนานาชาติ (Premier Hotel Investment & Resort Management Company) อีกทั้งยังช่วยตอกย้ำจุดยืนของสิงห์ เอสเตท ในฐานะ premier lifestyle developer และเพื่อตอกย้ำความเป็น Global HoldingCompany โดยการนำ SHR เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วงปลายปีนี้ ยิ่งช่วยเสริมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและขยายธุรกิจโรงแรมทั้งในและต่างประเทศ