LG เตรียมทุ่ม 100 ล้าน ลุยตลาดเครื่องฟอกอากาศปีหน้า ตั้งเป้าเบอร์ 1 Premium Segment ใน 2 ปี

กระแสตื่นตัวต่อฝุ่น PM 2.5 ส่งผลให้ตลาดเครื่องฟอกอากาศเติบโตขึ้นอย่างมาก จากในปี 2018 ที่เติบโตเพียง 12% กลับเติบโตถึง 149% ในปี 2019 คิดเป็นมูลค่า 1,700 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2020 คาดว่าตลาดยังเติบโตได้ถึง 50% มีมูลค่า 2,500 ล้านบาท

อำนาจ สิงหจันทร์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศและเครื่องฟอกอากาศ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปีหน้า LG จะรุกหนักตลาดเครื่องฟอกอากาศมากขึ้น โดยเตรียมเงินลงทุนด้านการตลาดไว้ 100 ล้านบาท เพื่อเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย, โปรโมตผ่านช่องทางทีวี, ออนไลน์, ป้ายโฆษณา, จัดดิสเพลย์หน้าร้านให้ดึงดูด และเทรนนิ่งพนักงานขายทุกเดือน โดยตั้งเป้ารายได้ 200 ล้านบาท จากปีนี้คาดว่าปิดที่ 40 ล้านบาท นอกจากนี้จะขยายตลาดเครื่องปรับอากาศที่มีเครื่องฟอกอากาศในตัว ตั้งเป้ายอดขายที่ 300 ล้านบาท

“ปีนี้เราพึ่งเริ่มทดลองทำตลาดเครื่องฟอกอากาศ โดยส่ง LG PuriCare รุ่นดับเบิล ราคา 49,900 บาท มาเจาะเซกเมนต์พรีเมียม ซึ่งได้รับผลตอบรับดีเกินคาด ดังนั้นปีหน้าเราจะยังโฟกัสที่เซกเมนต์พรีเมียม โดยตั้งเป้าเป็นเบอร์ 1 ในเซกเมนต์นี้ภายใน 2 ปี จากเดิมเป็นเบอร์ 3 ในตลาด”

เนื่องจากตลาดเครื่องฟอกที่เติบโตขึ้นมาก ดังนั้นจึงมีผู้เล่นใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดมากมาย แต่ก็มีผู้เล่นที่ออกจากตลาดอย่างรวกเร็วเช่นกัน เนื่องจากเครื่องฟอกอากาศมาเป็น Season ขายดีเฉพาะช่วงที่เกิดปัญหาฝุ่น PM 2.5 ดังนั้น บางรายอาจจะนำสินค้าเข้ามาช้ากว่าช่วงที่เกิดปัญหา ทำให้ต้องรีบระบายสต็อกและเลิกทำตลาดไป ปัจจุบันราคาเฉลี่ยของเครื่องฟอกอากาศอยู่ที่ 7,500 บาท

ในปีหน้า เทรนด์ของเครื่องฟอกอากาศจะเน้นแบบพกพามากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ในรถหรือติดไว้กับรถเข็นเด็ก ส่วนเทรนด์อื่นๆ จะเป็นการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน โดย LG มีจุดเด่นที่สามารถเชื่อมต่อผ่านแอปบนสมาร์ทโฟนได้ทุกรุ่น สามารถตั้งค่าการใช้งาน สั่งเปิด-ปิด ได้ผ่านแอปพลิเคชั่น และล่าสุด LG ได้เปิดตัวเครื่องฟอกพกพา ‘PuriCare Mini’ ที่เป็น IoT สามารถสั่งงานผ่านสมาร์ทโฟน โดย LG เป็นรายแรกของตลาด นอกจากนี้ยังสามารถกรองฝุ่นได้ถึง PM 1.0 ไมครอน สามารถทำความสะอาดฟิลเตอร์ได้ด้วยตัวเอง ราคา 7,990 บาท

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าไทยปีนี้ยังเติบโต แม้จะได้รับผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจบ้าง แต่หลังจากเลือกตั้งก็กลับมาฟื้นตัว โดยภาพรวม LG ปีนี้คาดว่าปิดที่ 2,200 ล้านบาท ถือว่าเติบโตกว่าปีที่ผ่านมา โดยปัจจัยมาจากการบริหารช่องทางจัดจำหน่ายได้ดีขึ้น มีสินค้าหลากหลาย มีตัวแทนจำหน่ายที่แข็งแกร่ง และเลือกสินค้าให้เหมาะกับแต่ละช่องทาง รวมทั้งพัฒนาบุคลากรด้านการขายให้ดีขึ้น

“ปีนี้ไม่ได้มีเรื่องมาตรการสนับสนุนด้านภาษีจากภาครัฐ ดังนั้นตลาดในช่วงสิ้นปีคงไม่ได้เติบโตมาก แต่เครื่องใช้ไฟฟ้ายังเป็นของที่ผู้บริโภคชอบจับจ่ายช่วงปลายปี ดังนั้นโค้งสุดท้ายนี้เราก็จะมีโปรโมชั่นให้เห็น มีการสต็อกสินค้าเพิ่ม เตรียมกำลังคนให้พร้อมในการขายของช่วงปีใหม่”

#LG #แอลจี #Puricare #puricaremini #pm2.5 #positioning