กลุ่มทุนภาคตะวันออกดึงบริษัทสิงคโปร์ร่วมพัฒนาคอนโดฯ บางแสน ใกล้ ม.บูรพา ตั้งเป้าลงทุนต่อเนื่อง 5 ปี มูลค่ารวม 1,200 ล้านบาท เชื่อมั่นโครงการ EEC – รถไฟเชื่อมสามสนามบิน ช่วยผลักดันเศรษฐกิจพื้นที่ เล็งเป้าหมายต่อไปบริเวณ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง
ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยและภาคอสังหาริมทรัพย์มีความท้าทาย แต่ยังมีบริษัทน้องใหม่มั่นใจพอที่จะเข้ามาเปิดตลาด “พีระพล รังสิมานุรักษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวนเจอร์ โกลบอล โฮลดิ้ง จำกัด (VGH) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งใหม่แห่งนี้เตรียมเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม “เดอะ เซนโทร บางแสน” มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท บริเวณหลังห้างแหลมทอง ใกล้ ม.บูรพา และหาดบางแสน เน้นดึงดูดนักลงทุนปล่อยเช่าเป็นที่พักนักศึกษา
สำหรับ VGH เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างนักลงทุนชาวไทย 4 ราย สัดส่วนผู้ถือหุ้นรวมฝั่งไทย 51% และ บริษัท ABN จากสิงคโปร์ สัดส่วนผู้ถือหุ้น 49%
แม้จะตั้งขึ้นใหม่แต่ผู้ถือหุ้นมีประสบการณ์ในแวดวงอสังหาฯ อยู่บ้าง โดย “พีระพล” เองดำเนินกิจการ บริษัท เสริมทรัพย์ 999 จำกัด เป็นเอเย่นต์ซื้อขายเช่าอสังหาฯ และพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว-อาคารพาณิชย์ในพื้นที่ จ.ระยอง และ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว มานาน 4 ปี พัฒนาโครงการรวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ด้าน “จักรพันธ์ บำเพ็ญเกียรติกุล” อีกหนึ่งผู้ถือหุ้นและซีโอโอของ VGH ทำธุรกิจด้านยางพาราและโลจิสติกส์ใน จ.ระยอง
ส่วน ABN จากสิงคโปร์เป็นบริษัททำกิจการซื้อและรีโนเวตบ้านเก่าเพื่อขาย ดำเนินกิจการมา 3 ปี มียอดขายสะสม 56.4 ล้านเหรียญสิงคโปร์ หรือประมาณ 1,240 ล้านบาท
คอนโดฯ แบบ Dual-Key
อย่างไรก็ตาม เดอะ เซนโทร บางแสน เป็นคอนโดฯ แห่งแรกที่ทั้งสองฝ่ายพัฒนา ตั้งอยู่บนที่ดิน 2 ไร่ เป็นอาคารโลว์ไรส์ 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวนห้องชุดรวม 304 ยูนิต ห้องชุดแบบ 1-2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 28-58 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท (เฉลี่ย 50,000 บาทต่อตร.ม.) คาดก่อสร้างเสร็จช่วงไตรมาส 4/64
จุดขายของคอนโดฯ นี้คือมีห้องชุด 2 ห้องนอนแบบ Dual-Key ลักษณะภายในห้องชุดจะมีห้องนั่งเล่นและส่วนครัวร่วมกัน แต่พื้นที่ห้องนอนจะมีกุญแจแยกออกจากกัน รวมถึงมีห้องน้ำส่วนตัวเพื่อความปลอดภัย ทำให้เจ้าของสามารถอยู่อาศัยเองและปล่อยเช่าอีกห้องให้รูมเมทได้ โดย “จักรพันธ์” กล่าวว่าในพื้นที่บางแสนเชื่อว่าคอนโดฯ นี้เป็นแห่งแรกที่มีห้องระบบ Dual Key แบบต่างประเทศ
พีระพลมองว่าเดอะ เซนโทร บางแสนจะดึงดูดนักลงทุนปล่อยเช่าได้ 70% ของโครงการ ที่เหลือ 30% เป็นผู้อยู่อาศัยเอง โดยพื้นที่บางแสน รอบ ม.บูรพา และชายหาดบางแสน ค่าเช่าหอพักหรือคอนโดฯ เฉลี่ยอยู่ที่ 7,000 บาทต่อเดือน และมีซัพพลายเหลือขายอยู่ไม่เกิน 500 ยูนิต เพราะมีคอนโดฯ เปิดใหม่น้อยมากในรอบ 3 ปี โดยตลาดมีอัตราดูดซับเฉลี่ย 20-30 ยูนิตต่อเดือน ทั้งส่วนใหญ่เป็นตึกขนาดเล็กมากกว่าโครงการใหญ่แบบนี้ บริษัทจึงมั่นใจในการพัฒนา เชื่อว่าจะปิดการขายทั้งโครงการได้ภายใน 2 ปี
เชื่อมั่น EEC ช่วยดันอสังหาฯ ภาคตะวันออก
สำหรับแผนระยะยาว VGH มองว่าจะพัฒนาคอนโดฯ ต่อเนื่องในรอบ 5 ปี (2563-67) จะเปิดโครงการมูลค่ารวมกันราว 1,200 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดินใน อ.บ้านฉาง จ.ระยอง เนื่องจากมองว่าเป็นพื้นที่ใกล้นิคมอุตสาหกรรมที่จะได้อานิสงส์จากโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) อยู่ใกล้สนามบินอู่ตะเภา และรถไฟเชื่อมสามสนามบิน
บริษัทเชื่อว่าโครงการ EEC จะสร้างงานสร้างเศรษฐกิจให้ภาคตะวันออก ทำให้มีประชากรแฝงเข้ามาทำงานอีกมาก และคนเหล่านี้จะต้องการที่อยู่อาศัย ดังนั้น จะเลือกทำเลเพื่อสร้างคอนโดฯ ตอบโจทย์พนักงานกลุ่มใหญ่คือพนักงานระดับกลาง ซึ่งมีรายได้ระหว่าง 30,000-50,000 บาทต่อเดือน
ทั้งนี้ จักรพันธ์กล่าวว่าไม่ใช่ทุกทำเลในเขต EEC จะสามารถลงทุนได้ ยกตัวอย่างเช่น เมืองพัทยา อมตะนคร หรือ อ.ศรีราชา เป็นทำเลฮอตที่มีโครงการเกิดขึ้นจำนวนมากจนโอเวอร์ซัพพลายไปแล้ว ทำให้บริษัทหลีกเลี่ยงและเลือกจุดที่มีซัพพลายเหมาะสม
ฝั่งผู้ถือหุ้นจากสิงคโปร์ “ออสติน ตัน” ซีอีโอ VGH ยืนยันว่าบริษัทต้องการลงทุนในไทยระยะยาวอย่างน้อย 10 ปี ส่วน “เรย์ เฮง” ซีเอฟโอ VGH มองว่าประเทศไทยยังมีโอกาสในการลงทุน เพราะมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีทั้งด้านคมนาคมและสื่อสารเป็นผลดีกับเศรษฐกิจ และปีนี้จีดีพีไทยน่าจะเติบโตได้ 3% จึงเชื่อว่า “เศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง”