‘อเล็กซานดรา’ ส่งท้ายผลงาน ดันยอดลูกค้า ‘ดีแทค’ เพิ่มในรอบ 5 ปี

ส่องผลงาน ‘อเล็กซานดรา ไรช์’ CEO หญิงแกร่งคนแรกของ ดีแทค เจ้าของวลี “สัญญาว่าจะไม่หยุด” ที่จะหมดวาระภายในเดือนมกราคมนี้ โดยกุมบังเหียนดีแทคนานเพียง 1 ปีกับ 4 เดือน แต่เพียงระยะเวลาเเค่นี้ คุณอเล็กซานดรา สามารถเพิ่มลูกค้าได้ 2.26 แสนราย จากไตรมาสที่ผ่านมา

โดยสิ้นปี 2562 ดีแทคมีฐานลูกค้าจำนวนทั้งสิ้น 20.6 ล้านราย แบ่งเป็นฐานลูกค้ารายเดือน 6.4 ล้านราย และเติมเงิน 14.2 ล้านราย มีกำไรสุทธิสำหรับปี 2562 มีมูลค่าทั้งสิ้น 5.9 พันล้านบาท เติบโต 69.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน

“จากผลการดำเนินงานในปี 2562 ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าดีแทคได้กลับเข้าสู่สภาวะการเติบโตอย่างยั่งยืน ประสบการณ์ลูกค้ามีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพทางด้านโครงข่ายโดยยึดปัญหาของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” อเล็กซานดรา ไรช์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าว

นอกจากนี้ ลูกค้าทั้งในระบบเติมเงินและระบบรายเดือนยังให้การตอบรับที่ดีต่อการพัฒนาทางด้านโครงข่าย การพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่าย และประสบการณ์ลูกค้า ด้วยการมุ่งเน้นที่คุณภาพการให้บริการและข้อเสนอที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น ทั้งนี้ กลยุทธ์การดำเนินในปี 2563 นี้ คือ การไม่หยุดพัฒนาประสบการณ์ใช้งานของลูกค้า การขยายโครงข่ายให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการพัฒนาองค์กรให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

ในปี 2562 ที่ผ่านมา ดีแทคเดินหน้าพัฒนาคุณภาพสัญญาณและขยายโครงข่ายอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถขยายสถานีฐานสำหรับรองรับคลื่น 2300 เมกะเฮิรตซ์ของทีโอที ได้ถึง 4,700 สถานี ทำให้ปัจจุบันสถานีฐานสำหรับรองรับคลื่น 2300 เมกะเฮิรตซ์ มีจำนวนถึง 17,400 สถานีทั่วประเทศ

นายดิลิป ปาล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการเงิน กล่าวว่า ดีแทคมีผลประกอบการทางการเงินที่แข็งแกร่งโดยมีรายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าไอซีในไตรมาส 4/62 ที่โตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับปี 2563 ดีแทคตั้งเป้าการเติบโตสำหรับรายได้จากค่าบริการไม่รวมค่าไอซีในอัตราร้อยละที่เป็นตัวเลขหลักเดียวในระดับต่ำ (low single-digit) ขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้ตัดจำหน่ายหรือ EBITDA คาดการณ์การเติบโตในอัตราร้อยละที่เป็นตัวเลขหลักเดียวในระดับกลาง (mid single-digit) ส่วนเงินลงทุนประมาณการณ์ไว้ที่ 13,000 – 15,000 ล้านบาท

Source