มือถือเข็นไม่ไป ‘เจมาร์ท’ เบนเข็มลุยตลาดอุปกรณ์เสริม ขอเป็น ‘Gadget Destination’ ตั้งเป้าโต 20%

ตลาด ‘สมาร์ทโฟน’ 1.2 แสนล้านบาทแทบไม่เติบโต ขณะที่แบรนด์มือถือเริ่มเข็นโปรดักส์ Gadget มาขายกันครบ ทั้งหูฟัง, นาฬิกา แม้กระทั่ง ‘โน๊ตบุ๊ก’ ซึ่งสัญญาณดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ตลาดสมาร์ทโฟนกำลังถึง ‘ทางตัน’ แล้ว ดังนั้น ‘Jaymart’ จึงปรับ Positioning แบรนด์ใหม่ ขอเป็น ‘Gadget Destination’ ที่เมื่อคนอยากซื้อ Gadget ต้องคิดถึง Jaymart เท่านั้น!

หลังจากปีที่ผ่านมาได้นำร่องเปิดร้าน ‘Jaymart IoT’ แล้ว 2 สาขา ได้แก่ เมกา บางนา และแฟชั่นไอส์แลนด์ ปีนี้ ‘เจมาร์ท’ เตรียมขยายเพิ่มอีก 10 สาขา โดยใช้งบสาขาละ 3 ล้านบาท ซึ่ง Jaymart IoT จะมีพื้นที่แสดงสินค้า Gadget 80% อีก 20% เป็นสมาร์ทโฟน และเตรียมปรับหน้าร้านอีก 40 สาขา ให้มีพื้นที่แสดงทั้งสองส่วนอย่างละ 50% ใช้งบสาขาละ 1 ล้านบาท โดยเราตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จาก Gadget เป็น 10% หรือประมาณ 700 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมามีสัดส่วน 5% หรือ 350 ล้านบาท

“เทรนด์ Smart Gadget มาแรง จะเห็นว่าแบรนด์สมาร์ทโฟนทั้งหมดก็ลงมาทำตลาดนี้ ทั้ง Smart Watch, หูฟัง True Wireless ซึ่งทั้ง 2 ตลาดก็มีการเติบโตเท่าตัว โดยปัจจุบันตลาด Gadget มีมูลค่าตลาดราว 12,000-15,000 ล้านบาท” นราธิป วิรุฬห์ชาตะพันธ์ ผู้อำนวยการบริหารสายงานการตลาด บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) กล่าว

นราธิป วิรุฬห์ชาตะพันธ์ ผู้อำนวยการบริหารสายงานการตลาด บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน)

ปัจจุบัน เจมาร์ทได้แบ่งสินค้า Gadget เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.หมวดสุขภาพ อาทิ สมาร์ทวอทช์ 2.สปีกเกอร์ อาทิ หูฟัง, ลำโพง 3.เดินทาง อาทิ กล้องโกโปร ไม้เซลฟี่ และ 4.IoT อาทิ เครื่องดูดฝุ่น เครื่องฟอกอากาศ และในอนาคตจะเพิ่มสินค้าประเภท Notebook ด้วย

ในส่วนของตลาดมือถือที่ไม่เติบโต มาระยะหนึ่งแล้ว ขณะที่ต้นปีมีหลายปัจจัยลบ ทั้งสภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อกำลังซื้อ ทั้งไวรัสโคโรนา และก่อการร้าย อย่างไรเชื่อมั่นว่า ‘5G’ จะเป็นปัจจัยบวกของตลาด โดยเฉพาะในรุ่นแฟลกชิป ดังนั้นมีโอกาสที่ตลาดจะปรับตัวขึ้นเล็กน้อย ปัจจุบันช่วงราคาที่ขายดีอยู่ที่ 8,000-10,000 บาท มีสัดส่วนราว 25% ส่วนกลุ่ม 10,000-20,000 บาท มีสัดส่วน 22% กลุ่ม 20,000-30,000 บาท มีสัดส่วน 10% สูงกว่า 30,000 บาทมีสัดส่วน 10% ที่เหลือเป็นกลุ่มต่ำกว่า 8,000 บาท

แม้ Positioning แบรนด์จะปรับไปทาง Gadget แต่ไม่ได้แปลว่าจะทิ้งส่วนของสมาร์ทโฟน โดยกลยุทธ์ในปีนี้ของเจมาร์ทจะเข้าหาลูกค้ามากขึ้น เพื่อแก้โจทย์ที่ลูกค้าเข้าหน้าร้านน้อยลง โดยจะมีการส่งพนักงานขายไปไดเร็กเซลล์มากขึ้น บวกกับช่องทางของ ‘ซิงเกอร์’ ที่ทำการไดเร็กเซลล์ในกลุ่มต่างจังหวัด ในส่วนของออนไลน์จะเน้นไปที่ Gadget เป็นหลัก จะมีการทำโปรโมชั่นร่วมกับมาร์เก็ตเพลส โดยตั้งเป้าเพิ่มยอดขายเป็นเท่าตัว จากปัจจุบันอยู่ที่ 2-3 ล้านบาท/เดือน

นอกจากนี้ จะเน้นกลยุทธ์ CRM ล่าสุด ได้ออกแคมเปญ ‘Jaymart We Care ดูแลเครื่อง ดูแลคุณ’ โดยเพิ่มประกันให้สมาร์ทโฟนจาก 1 เป็น 3 ปี (ราคาขั้นต่ำ 8,000 บาท) และมีประกันให้ Gadget นาน 6 เดือน (ราคาขั้นต่ำ 599 บาท) เริ่มตั้งแต่ 14 กุมภาพันธ์ จนถึง 30 เมษายน 2563 นอกจากนี้ยังมีสิทธิพิเศษด้าน Life Style มาเสริม อาทิ ให้เข้าฟิตเนสฟรี

“เรามีจุดแข็ง 3 เรื่อง 1.ฐานลูกค้าสมาร์ทโฟน 2.การการันตี และ 3.ไลฟ์สไตล์ ออฟเฟอร์ ดังนั้น ความท้าทายของเราในปีนี้ไม่ใช่เรื่องภายในแต่เป็นปัจจัยภายนอกมากกว่า ซึ่งเราก็มั่นใจว่าเรามาถูกทางแล้ว เพราะยอดขายสมาร์ทโฟนในหน้าร้านยังเท่าเดิม แม้จะปรับสัดส่วนร้านเป็น Gadget มากขึ้น”

ทั้งนี้ ผลประกอบการของเจมาร์ทในปี 2018 นั้นขาดทุน ขณะที่ปี 2019 มีรายได้ประมาณ 8,000 ล้านบาท สามารถกลับมาทรงตัวได้อีกครั้ง ส่วนปี 2020 นี้ เจมาร์ทตั้งเป้าเติบโต 20%

#Jaymart #Gadget #GadgetDestination #Mobile #Smartphone #Positioning