-
“ออริจิ้น” เปิดแผนปี 2563 เปิดโครงการลดลงจากปีก่อน หันมาเน้นโครงการแนวราบแทนคอนโดมิเนียม จากภาวะตลาดคอนโดฯ ซบเซา
-
เปิดแบรนด์ใหม่ในกลุ่มแนวราบ 3 แบรนด์รวด ขยับหาลูกค้าบ้านหรู 10-35 ล้านบาท ออกทำเลต่างจังหวัด
-
วางเป้ายอดขาย 21,500 ล้านบาท ลดลง 25% ขณะที่เป้ารายได้อยู่ที่ 16,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13%
-
ประกาศ 3 พาร์ตเนอร์ใหม่ร่วมพัฒนาโรงแรม-คอนโดฯ เปิดกว้าง “Open Platform” พร้อมเจรจาดีลกับพาร์ตเนอร์ทุกรูปแบบ
ออริจิ้น เป็นบริษัทที่เติบโตจากการพัฒนาคอนโดมิเนียม ก่อนจะแตกไลน์ธุรกิจสู่โครงการแนวราบ รวมถึงธุรกิจอสังหาฯ เพื่อเช่าและบริการ เช่น โรงแรม นิติบุคคล ตกแต่งภายใน ที่ผ่านมาคอนโดฯ ยังเป็นธุรกิจหลักอย่างชัดเจน แต่ปีนี้จะเป็นปีแรกที่ออริจิ้นสลับเครื่องยนต์หลักของธุรกิจมาใช้โครงการแนวราบเป็นตัวนำ
“พีระพงศ์ จรูญเอก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยแผนธุรกิจปี 2563 จะเปิดตัวทั้งหมด 14 โครงการ มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 10 โครงการ มูลค่ารวม 12,100 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่ารวม 7,900 ล้านบาท
แผนเปิดตัวปีนี้นับว่า “กลับทาง” กับปี 2562 ที่ออริจิ้นเปิดตัว 20 โครงการ มูลค่ารวม 24,200 ล้านบาท ในจำนวนนี้ 16 โครงการเป็นคอนโดฯ และมีโครงการแนวราบแค่ 4 โครงการ ทำให้ปีนี้บ้านและทาวน์เฮาส์จะกลายเป็นเครื่องยนต์หลักทดแทนให้ออริจิ้นในภาวะตลาดคอนโดฯ ซบเซา
“เราไม่ชะล่าใจ ไม่จมกับความสำเร็จเก่าๆ คอนโดฯ ที่เราวางแผนเปิดตัวในปีนี้จะมีเฉพาะจุดที่มั่นใจ แต่ก็มีเตรียมที่ดินคอนโดฯ ไว้อีก 4 แห่งที่ยังไม่อยู่ในแผน มูลค่ารวม 4,000-6,000 ล้านบาท กรณีตลาดดีขึ้น เราก็มีสินค้าพร้อมลงเพิ่มได้อีก” พีระพงศ์กล่าว
บ้าน 3 แบรนด์ใหม่บุกทุกเซ็กเมนต์
แบรนด์แนวราบที่ออริจิ้นใช้มาตลอด 3 ปีเป็นแบรนด์ “บริทาเนีย” สินค้าหลักคือบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด ราคา 3-7 ล้านบาท เกาะทำเลกรุงเทพฯ ตะวันออก เช่น บางนา ศรีนครินทร์ ซึ่งเป็นทำเลถนัดของบริษัท
แต่ปีนี้จะปูพรมเพิ่มเซ็กเมนต์ใหม่รวดเดียว 3 แบรนด์ คือ “เบลกราเวีย” บ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ราคา 10-35 ล้านบาท “แกรนด์บริทาเนีย” บ้านเดี่ยวตลาดกลางบนราคา 7-10 ล้านบาท และ “ไบรตัน” ทาวน์เฮาส์ตลาดกลางถึงกลางล่าง ราคา 2-5 ล้านบาท
และจะเริ่มกระจายทำเลออกไปมากขึ้น เช่น โครงการเบลกราเวีย ราชพฤกษ์ เป็นครั้งแรกในโซนกรุงเทพฯ ตะวันตก หรือ บริทาเนีย สายไหม ซึ่งค่อนไปทางกรุงเทพฯ โซนเหนือ รวมถึงไปในโซนต่างจังหวัดมากขึ้น เช่น ชลบุรี ระยอง นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรสงคราม
“แบรนด์ใหม่ในตลาดก็จริง แต่เรากระตุ้นแบรนด์ด้วยชื่อของออริจิ้นตลอด ทำให้แบรนด์ใหม่หรือเก่าไม่มีผลกับความมั่นใจของลูกค้า”
สำหรับคอนโดฯ 4 โครงการ ที่อยู่ในแผนพร้อมเปิดตัว มีดังนี้
1.The Origin ลาดพร้าว 111
2.Knightsbridge Space พระราม 4
3.The Origin Plug & Play รามอินทรา (เฟส 2)
4.Hampton ศรีราชา
เป้ายอดขายลดลง 25% จากปีก่อน
เป้าหมายยอดขายปี 2563 บริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 21,500 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากคอนโดฯ 77% และแนวราบ 23% โดยเป้าหมายนี้ลดลงไปจากปีก่อน 25% หลังจากปีที่แล้วออริจิ้นประกาศทำยอดขายสูงที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ปีนี้กลายเป็นปีที่ “หนัก” ตามสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม
“ปีนี้ยาก และเป็นความยากแบบซึมลึก” พีระพงศ์กล่าว “เกิดจากไวรัส COVID-19 เริ่มระบาดที่ประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศใหญ่ ทำให้ผลของมันลุกลามไปทั้งโลก จีดีพีประเทศไทยก็น่าจะจบที่ไม่ถึง 2% แย่กว่าปีที่แล้ว”
ส่วนเป้ารายได้วางไว้ที่ 16,000 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 13% เกิดจากบริษัทมีแบ็กล็อกรอโอนหลายโครงการ เฉพาะคอนโดฯ จะโอนทั้งหมด 11 โครงการ รวมถึงมีรายได้จากอสังหาฯ เช่าและการบริการที่เติบโตต่อเนื่อง
เปิดกว้างรับ “พันธมิตร” ลดความเสี่ยง
พีระพงศ์ยังกล่าวถึงแนวทางหลักในการทำงานของบริษัทคือ “Open Platform” ที่ชัดเจนขึ้นในปีนี้ นั่นคือออริจิ้นทุกส่วนธุรกิจจะเปิดกว้างต้อนรับพาร์ตเนอร์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของทุน แลนด์ลอร์ด สตาร์ทอัพ ธุรกิจอื่นๆ หากมีความต้องการร่วมมือกับบริษัทสามารถติดต่อเพื่อเจรจาดีลได้
ที่ผ่านมาออริจิ้นมีพันธมิตรเจ้าใหญ่ที่ร่วมทุนกันพัฒนาคอนโดฯ คือ Nomura Real Estate จากญี่ปุ่น และปีนี้จะมีพาร์ทเนอร์ใหม่อีก 3 ราย ที่ร่วมทุนกันใน 4 โครงการเหล่านี้
1.Hampton ศรีราชา มูลค่า 1,400 ล้านบาท ร่วมทุนกับ เครือดุสิตธานี
2.The Origin ลาดพร้าว 111 มูลค่า 1,900 ล้านบาท ร่วมทุนกับบริษัท GS E&C บริษัทก่อสร้างจากเกาหลีใต้
3.Knightsbridge Space พระราม 4 มูลค่า 2,300 ล้านบาท ร่วมทุนกับบริษัท GS E&C
4.โรงแรมอินเตอร์คอนทิเนนทัล กรุงเทพฯ-ทองหล่อ มูลค่า 3,000 ล้านบาท ร่วมทุนกับบริษัท CI : Z บริษัทเวชภัณฑ์จากญี่ปุ่น
โดยบริษัทยังเปิดกว้างในการเจรจาดีล โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าของที่ดินซึ่งกำลังจะมีประเด็นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทำให้เกิดต้นทุนในการเก็บที่ดินเปล่า ออริจิ้นมองโมเดลทุกรูปแบบไม่เฉพาะการรับซื้อ แต่สามารถเจรจาในลักษณะร่วมลงทุนได้เช่นกัน