PwC ประเทศไทย เผยผลสำรวจพบการรายงานอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและการทุจริตของบริษัทไทยลดลงเมื่อเทียบกับการสำรวจเมื่อ 2 ปีก่อน แต่อาจสะท้อนว่า องค์กรไม่ได้มีการติดตามและตรวจสอบการทุจริตอย่างเพียงพอ เพราะผู้กระทำการทุจริตมีวิธีการที่ซับซ้อนและแยบยลมากขึ้นจนทำให้ตรวจพบได้ยาก โดยการยักยอกทรัพย์ยังคงเป็นประเภทของการทุจริตที่ตรวจพบมากที่สุดในไทย และส่วนใหญ่ผู้กระทำผิดเป็นบุคคลภายในองค์กร แนะผู้บริหารไม่ประมาท มีการกำหนดมาตรการการรับมือการทุจริตที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการตรวจสอบผู้กระทำผิด
นายชิน ฮอนมา หุ้นส่วนสายงาน Forensic Services บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึง‘ผลสำรวจอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและการทุจริตในประเทศไทย ประจำปี 2563’ หรือ ‘PwC’s Thailand Economic Crime and Fraud Survey 2020: Staying on top of a never-ending war’ซึ่งบริษัทเป็นผู้จัดทำรายงานดังกล่าวขึ้นทุกๆ 2 ปี โดยในปีนี้ มีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนทั้งสิ้น 286 รายครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจในประเทศพบว่า 33% ของบริษัทในประเทศไทยตกเป็นเหยื่อการทุจริตและอาชญากรรมทางเศรษฐกิจในปีนี้ ลดลงจากผลการสำรวจเมื่อปี 2561 ที่ 48% ซึ่งหากพิจารณาตัวเลขอย่างผิวเผินอาจเห็นว่า นี่เป็นการพัฒนาในเชิงบวก แต่อีกนัยหนึ่งอาจสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของการที่ผู้กระทำการทุจริตได้มีการพัฒนาวิธีการทุจริตให้มีความสลับซับซ้อนมากขึ้นจนทำให้ตรวจพบได้ยากยิ่งขึ้น
“เราเชื่อว่า การรายงานเหตุการณ์ทุจริตในไทยที่สูงขึ้นเมื่อปี 2561 ชี้ให้เห็นถึงการที่องค์กรต่าง ๆ มีการลงทุนด้านแผนการตรวจสอบการทุจริต มีพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญ และมีเทคโนโลยีที่จำเป็นในการตรวจจับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการตรวจพบการทุจริตมากขึ้นตามลำดับ ซึ่งเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับการรายงานเหตุการณ์การทุจริตที่ลดลงในปีนี้ อาจทำให้เราตีความได้อีกนัยหนึ่งว่า ผู้กระทำการทุจริตกำลังชนะสงคราม โดยได้มีการพัฒนาวิธีการทุจริตที่แยบยลมากขึ้น และนำใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ทำให้การตรวจจับการทุจริตเป็นไปได้ยากขึ้น” นาย ฮอนมา กล่าว
ทุจริตยักยอกทรัพย์ส่งกระทบต่อบริษัทไทยมากที่สุด
ทั้งนี้ ผลสำรวจยังพบว่า การยักยอกทรัพย์(Asset misappropriation) ยังคงเป็นประเภทของอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อบริษัทไทยมากที่สุดตามมาด้วยการทุจริตผ่านการจัดซื้อจัดจ้าง การติดสินบน และการคอร์รัปชัน โดยบุคคลภายในองค์กร (Insiders) มีส่วนรับผิดต่อคดีการทุจริตถึง 59% ในบริษัทไทยเปรียบเทียบกับ 37% ของบริษัททั่วโลก ขณะที่อีก 18% ของคดีเกี่ยวข้องกับการสมรู้ร่วมคิดระหว่างบุคคลภายในและบุคคลภายนอก สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ว่า มีคดีทุจริตจำนวนมากที่มีความซับซ้อนสูงและมีหลายฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงยิ่งทำให้ยากต่อการตรวจจับ
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบว่า 30% ของคดีการทุจริตที่ถูกตรวจพบ มาจากการร้องเรียนและการแจ้งเบาะแสการทุจริต (Whistleblowing) ขณะที่วิธีการอื่น ๆ เช่น การควบคุมความเสี่ยงจากการทุจริตทั่วไป (3%) และการตรวจสอบภายในและภายนอก (7%) เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมน้อยกว่า และน่าเป็นห่วงว่า น้อยกว่า 10% ของแผนการตรวจจับทุจริตขององค์กรไทย มีการปฏิบัติตามแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best practices) ด้วยเหตุนี้จึงนำไปสู่การมีคดีของการทุจริตที่ยังตรวจจับไม่ได้เป็นจำนวนมากและมีการรายงานน้อยกว่าความเป็นจริง
“วันนี้ องค์กรต้องเข้าใจและยอมรับว่า ความเสี่ยงจากอาชญากรรมทางเศรษฐกิจจะยังคงมีอยู่ต่อไป และจะยิ่งถูกโจมตีได้ง่ายมากขึ้น จากการเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ทำให้สภาพแวดล้อมทางธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในโลกที่มีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนี้ บริษัทจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการประเมินการป้องกันการทุจริต และเตรียมความพร้อมที่จะตอบสนองต่อการทุจริต ผ่านการใช้มาตรการรับมือกับการทุจริตที่มีประสิทธิภาพ” นาย ฮอนมา หัวหน้าทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจจับทุจริต นักบัญชีสืบสวน และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของ PwC ประเทศไทย กล่าว
ทั้งนี้ ผลสำรวจอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและการทุจริตของ PwC ยังพบว่า การขาดความเชี่ยวชาญ ทรัพยากร และการสนับสนุนจากผู้บริหารถือเป็นอุปสรรคที่ปิดกั้นบริษัทไทยจากการนำเทคโนโลยีที่จำเป็นมาประยุกต์ใช้ในการต่อสู้กับการทุจริตและอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ โดยบริษัทหลายแห่งยอมรับว่า พวกเขาไม่มีแม้แต่แผนตรวจจับการทุจริตขั้นพื้นฐาน
นาย ฮอนมาเชื่อว่า สำหรับบริษัทไทย “คำถามสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่า คุณตกเป็นเหยื่อของการทุจริตหรือไม่ แต่คุณรู้ตัวหรือไม่ว่าการทุจริตส่งผลกระทบต่อองค์กรของคุณอย่างไรในขณะที่การต่อสู้กับการทุจริต การคอร์รัปชัน และอาชญากรรมทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่จบสิ้น หากบริษัทยังมองข้ามสิ่งเหล่านี้ ก็อาจต้องเตรียมรับมือกับความเสียหายมูลค่ามหาศาล อย่างไรก็ดียังไม่สายเกินไปที่เราจะหันมาปฏิบัติตามขั้นตอนที่เหมาะสมเพื่อพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบผู้กระทำการทุจริตและพร้อมที่จะชนะสงคราม”
เกี่ยวกับการสำรวจ
ผลสำรวจอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและการทุจริตของ PwC ประเทศไทย ประจำปี 2563 ถูกจัดทำขึ้นผ่านการสอบถามความคิดเห็นของผู้บริหารจำนวน 286 ราย ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจในประเทศไทย คุณสามารถดาวน์โหลดรายงานผลสำรวจโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ได้ที่ www.pwc.com/th
เกี่ยวกับบริการตรวจสอบทุจริต
สายงานการตรวจสอบทุจริต หรือ Forensic Services ของบริษัท PwC ประเทศไทย ถูกจัดตั้งขึ้นในปี 2552 ในฐานะทีมผู้ให้บริการมืออาชีพแห่งแรกในประเทศไทยที่ให้ความสำคัญกับการป้องกัน ตรวจจับ และสืบสวนอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ สมาชิกในทีมมีส่วนร่วมในการนำเสนอประเด็นต่าง ๆ ในการประชุมทางธุรกิจ และให้คำปรึกษาโดยตรงกับองค์กรและหน่วยงานมืออาชีพเพื่อช่วยสร้างมาตรการป้องกันอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ
คำแนะนำของเราอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลเชิงลึกที่ได้มาจากการตรวจสอบให้กับลูกค้าจำนวนมาก ในด้านการทุจริตในงบการเงิน การยักยอกทรัพย์ การติดสินบนในเชิงพาณิชย์ เงินสินบน และอาชญากรรมทางไซเบอร์ นอกจากนี้เรายังช่วยเหลือบริษัทต่าง ๆ ให้ปฏิบัติตามกฎหมายต่อต้านการทุจริตและการฟอกเงิน
เกี่ยวกับ PwC
ที่ PwC เป้าประสงค์ของเรา คือ การสร้างความไว้วางใจในสังคมและช่วยแก้ปัญหาสำคัญให้แก่ลูกค้า เราเป็นหนึ่งในบริษัทเครือข่าย 157 ประเทศทั่วโลก และมีพนักงานมากกว่า 276,000 คนที่ยึดมั่นในการส่งมอบบริการคุณภาพด้านการตรวจสอบบัญชี ที่ปรึกษาทางธุรกิจ กฎหมายและภาษี หากท่านต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราได้ที่www.pwc.com
เกี่ยวกับ PwC ประเทศไทย
PwC ประเทศไทย ถูกก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2502 โดยมีบทบาทในการช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแก่ธุรกิจไทยมานานกว่า 61ปี PwC ผสมผสานประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถในการทำงานกับลูกค้าข้ามชาติ ผนวกกับความเข้าใจตลาดภายในประเทศเป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ชื่อเสียงของ PwC เป็นที่ยอมรับและได้รับความไว้วางใจจากภาคธุรกิจต่าง ๆ โดยปัจจุบัน มีบุคลากรมากกว่า 2,000 คนในประเทศ
PwC refers to the Thailand member firm, and may sometimes refer to the PwC network. Each member firm is a separate legal entity. Please see www.pwc.com/structure for further details.
© 2020 PwC. All rights reserved