บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งในสาขาบริษัทความงามอันดับหนึ่งของโลกและผู้บุกเบิกด้าน Beauty Tech ของประเทศไทย แสดงการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมุ่งสนับสนุนภาคส่วนต่างๆ ในประเทศไทยด้วยโครงการ L’Oréal Thailand COVID-19 Solidarity เพื่อช่วยเหลือในวิกฤติโควิด-19 พร้อมเผยข้อมูลอุตสาหกรรมความงามในปี 2562 ขึ้นแท่นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ทั้งยังครองความเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าในประเทศไทย ชี้ตลาดความงามปีนี้ท้าทายสุดพร้อมเผยการปรับตัวเพื่อดำเนินธุรกิจในยุควิกฤติโควิด-19
ในปี 2562 ตลาดความงามในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตมากกว่าปี 2561 อยู่ที่ร้อยละ 6.7 ด้วยมูลค่าตลาดรวมกว่า 2.18 แสนล้านบาท[1] ซึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวยังครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดถึงร้อยละ 42 จากมูลค่าตลาดรวมทั้งหมด โดยมีผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวถึง 81 เปอร์เซ็นต์
ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมา ภายใต้ความมุ่งมั่นในการเป็นผู้บุกเบิกและผู้นำด้าน Beauty Tech ของประเทศไทย ลอรีอัลนำเสนอเทคโนโลยีด้านดิจิทัลส่งมอบประสบการณ์ด้านความงามที่ทันสมัย พร้อมกับนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้แก่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทฯ ยังคงครองตำแหน่งผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า และก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำด้านผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางในประเทศไทยซึ่งนอกเหนือจากความสำเร็จดังกล่าว ลอรีอัล ในฐานะบริษัทฯ ความงามที่ให้ความสำคัญด้านการสนับสนุนชุมชนและความยั่งยืน ยังมุ่งเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมปันน้ำใจ เพื่อมอบความช่วยเหลือให้แก่สังคมและภาคส่วนต่างๆ อย่างเต็มที่ให้สามารถก้าวผ่านสถานการณ์โควิด-19 นี้ไปได้
นางอินเนส คาลไดรา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สถานการณ์ปัจจุบันเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับทุกภาคธุรกิจ แต่การล็อกดาวน์ภายใต้สถานการณ์นี้ไม่ได้หมายความว่าบริษัทจะดำเนินธุรกิจช้าลง เพราะต้องเร่งปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ ในขณะที่การดูแลตัวเองด้วยผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและการดำเนินชีวิตประจำวันยังคงเป็นสองสิ่งจำเป็นที่มาคู่กันเสมอ ในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมพร้อมความมุ่งมั่นกับพันธสัญญาด้านความยั่งยืนและการช่วยเหลือสังคม ลอรีอัล ประเทศไทย จึงดำเนินโครงการ L’Oréal Thailand COVID-19 Solidarity ขึ้น เพื่อปันน้ำใจช่วยเหลือในหลากหลายภาคส่วน ทั้งเพื่อให้การสนับสนุนและแสดงความขอบคุณในการอุทิศตนช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนในสถานการณ์ที่ผ่านมา”
โครงการ L’Oréal Thailand COVID-19 Solidarity มีเป้าหมายในการให้ความช่วยเหลือหลายภาคส่วนในประเทศไทยให้ก้าวผ่านวิกฤติโควิด-19 ได้อย่างปลอดภัย ดังนี้
- บุคลากรทางการแพทย์:มอบชุดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและดูแลเส้นผมให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขด่านหน้าจำนวน 130,000 คน ในโรงพยาบาล 28 แห่งทั่วประเทศ แบ่งเป็นโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 24 แห่งและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุขอีก 4 แห่ง เพื่อแทนคำขอบคุณในความทุ่มเทและเสียสละในการช่วยเหลือประเทศชาติช่วงสถานการณ์วิกฤติโควิด-19ทั้งหมดรวมมูลค่ากว่า 150 ล้านบาท
- ทุนพิเศษ โครงการลอรีอัล ประเทศไทย เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์ เพื่องานวิจัยโควิด-19: มอบทุนวิจัยจำนวน 1 ล้านบาท ให้แก่นักวิจัยสตรีที่ดำเนินงานวิจัยเกี่ยวกับโควิด-19 ในสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ สาขาวัสดุศาสตร์ หรือ สาขาเทคโนโลยี จำนวน 5 ทุน ทุนละ 200,000 บาท เพื่อเป็นกำลังใจในการค้นคว้างานวิจัยที่เป็นประโยชน์ในการยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยมีคณะกรรมการกิตติมศักดิ์ ของโครงการฯ ร่วมคัดเลือกและตัดสินในด้านขอบเขตของงานวิจัย ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงโครงการทุนวิจัยฯ ประจำปี 2563 อยู่เช่นเคย
- โครงการสนับสนุนเคียงข้างร้านเสริมสวยL’Oréal Thailand Salon Solidarity: เพื่อช่วยเหลือร้านตัดผม-เสริมสวย ทั้งร้านคู่ค้าและร้านเสริมสวยอื่นทั่วประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการห้ามเปิดกิจการด้วยการแนะแนวทางช่วยเหลือและให้ความรู้ด้านต่างๆ เพื่อเร่งปรับตัวและฟื้นธุรกิจหลังได้รับอนุญาตให้เปิดบริการได้
- กลุ่มผู้ขาดโอกาสทางสังคม:มอบผลิตภัณฑ์ในเครือของลอรีอัล ประเทศไทย ให้แก่บุคคลที่ขาดโอกาสทางสังคมกว่า 100,000คน ในช่วงครึ่งปีหลังเพื่อให้ความช่วยเหลือกลุ่มบุคคลผู้ด้อยโอกาสให้สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาดและดูแลผิวและเส้นผมเพื่อใช้ชีวิตประจำวัน
นอกจากการช่วยเหลือสังคมแล้ว ลอรีอัล ยังเร่งปรับการดำเนินธุรกิจอย่างรวดเร็วเพื่อรับมือวิกฤติโควิด-19 และเดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้นำด้าน Beauty Tech ในประเทศไทย ดังนี้:
- พัฒนาทักษะดิจิทัลแก่ที่ปรึกษาด้านความงาม (BA): จัดคอร์สการเรียนรู้ออนไลน์ เพื่อเพิ่มทักษะให้แก่ที่ปรึกษาด้านความงาม สนับสนุนที่ปรึกษาด้านความงามให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าผ่านหน้าโซเชียลมีเดียและช่องทางออนไลน์และให้รับบทบาท e-BA เพิ่มช่องทางการขายสินค้าออนไลน์ เพื่อช่วยเพิ่มรายได้ให้กับที่ปรึกษาด้านความงาม ในช่วงที่ห้างสรรพสินค้าปิดบริการชั่วคราว
- โปรแกรม Learning Never Stops สำหรับพนักงาน: เพื่อพัฒนาศักยภาพและทักษะของพนักงานผ่านหลักสูตรออนไลน์ในช่วงทำงานที่บ้านกับโครงการ Learning Never Stops ผ่าน MyLearning ศูนย์การเรียนรู้ออนไลน์ของพนักงานลอรีอัล และจัด Live Webinar โดยมีผู้เข้าร่วมเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่า ด้วยจำนวนชั่วโมงการเรียนรู้เพิ่มสูงถึงเกือบ 11 เท่า เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปีที่ผ่านมา
- ผลักดันตลาดอีคอมเมิร์ซ: โดยร่วมมือกับพันธมิตรคู่ค้าด้านอีคอมเมิร์ซ ทั้ง Shopee Lazada และ CentralOnline จัดแคมเปญต่างๆ ให้ผู้บริโภคในช่วงที่ต้องอยู่ที่บ้าน และผลักดันช่องทางอีคอมเมิร์ซอื่นทุกช่องทาง อีกทั้งเร่งเสริมนวัตกรรม Beauty Tech เพื่อให้ลูกค้าสะดวกในการซื้อออนไลน์มากขึ้น ทั้งนี้ในภาพรวมยอดขายตลาดอีคอมเมิร์ซทั้งหมดของบริษัทฯ ในช่วงเดือนพฤษภาคมมีอัตราเติบโตสูงสามหลัก
ทั้งนี้ในระดับโลก ลอรีอัล กรุ๊ป ก็ได้จัดทำโครงการ L’Oréal for the Future เพื่อช่วยเหลือผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจผ่านการสนับสนุนเงินทุนจำนวนกว่า50ล้านยูโรให้แก่องค์กรไม่แสวงผลกำไรและพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง ควบคู่ไปกับการให้ทุนเพื่อพัฒนาโครงการที่มุ่งปฏิรูประบบนิเวศน์สิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลายและป้องกันการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศด้วยเงินทุน 100 ล้านยูโร สอดคล้องกับแนวทางการขับเคลื่อนธุรกิจ ตอบโจทย์พันธสัญญาด้านความยั่งยืนในการส่งมอบ “ความงามสำหรับทุกสรรพสิ่ง” หรือ “Sharing Beauty For All”
[1] อ้างอิงข้อมูลจาก ยูโรมอนิเตอร์ 2019