เช็คอาการตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพรุ่งหรือร่วง

อย่างที่ทุกท่านทราบกันดีถึงพิษของไวรัสโควิด-19 แม้ว่าสถานการณ์เริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น แต่วิกฤตนี้ได้ทิ้งร่องรอยความเสียหายไว้มากมายมหาศาล โดยมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดนั้น ส่งผลโดยตรงต่อการหยุดชะงักของประเทศ ทั้งในแง่เศรษฐกิจและการใช้ชีวิตของผู้บริโภค  และยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะ ความปกติ หรือแม้แต่ ความปกติใหม่ (New Normal) ที่พูดถึงกันได้เมื่อไร

แน่นอนว่าทุกเหตุการณ์ย่อมมีเรื่องดีและร้าย จากผลการสำรวจพฤติกรรมของประชาชนช่วงไวรัสโควิด-19 (สวนดุสิตโพล) พบว่าคนไทยดูแลสุขภาพ มากขึ้น 85.30% เหมือนเดิม 13.29% น้อยลง 1.13% และไม่ได้ทำเลย 0.28%

ซึ่งหลายปีที่ผ่านมาการดูแลรักษาสุขภาพ ถือเป็นเทรนด์ยอดฮิตของกลุ่มคนรุ่นใหม่ และกระจายความนิยมเป็นวงกว้างไปทุกช่วงวัย ทั้งการออกกำลังกาย การเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ รวมถึงการเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จากข้อมูลของ EuroMonitor ในปี 2559 พบว่าธุรกิจอาหารเสริมของไทยมีมูลค่ามากถึง 6.67 แสนล้านบาท

ดูเผินๆ เหมือนว่าธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยังพอมีทางให้เดินต่อ แต่จากการหดตัวอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจไทยหากดูในส่วนของกำลังซื้อหรือความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.63 อยู่ที่ระดับ 47.2 ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่การทำสำรวจในรอบ 21 ปีซึ่งปัญหาหลักมาจากโควิด-19 กระทบต่อความเชื่อมั่นทั้งรายได้ การหางานทำ และเศรษฐกิจโดยรวม โดยเดือนพ.ค. 63 ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 48.2 เป็นการฟื้นตัวครั้งแรกในรอบ 15 เดือน หลังจากเริ่มผ่อนคลายธุรกิจบางส่วนได้พร้อมยังประเมินครึ่งปีแรก คาดว่าเม็ดเงินจะหายออกจากระบบเศรษฐกิจถึง 1.5 ล้านล้านบาท

ว่ากันว่าไวรัสโควิด -19 เป็นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรง กระทบต่อภาวะเศรษฐกิจอย่างรุนแรงไปทั่วโลกคำถามคือ เทรนด์การดูแลรักษาสุขภาพที่เคยได้รับความนิยม จะสามารถสู้กับกำลังซื้อที่หดตัวของผู้บริโภคได้หรือไม่…

บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชั้นนำ ภายใต้แบรนด์ อมาโด้ (amado) ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจกับสุขภาพของตัวเอง แต่ในภาวะรูปแบบการใช้ชีวิตที่เร่งรีบอาจทำให้ได้สารอาหารไม่ครบ หรือได้รับในปริมาณที่ไม่เพียงพอ อาหารเสริมจึงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ผู้คนส่วนใหญ่นึกถึงซึ่งผลิตภัณฑ์ของอมาโด้สามารถตอบโจทย์ความต้องการทั้งกลุ่มผู้ที่ต้องการดูแลด้านความงามและสุขภาพเพราะมีความโดดเด่นที่เป็นคอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึก นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ช่วยฟื้นฟูผิวพรรณ สร้างความยืดหยุ่น ลดริ้วรอย และช่วยในด้านสุขภาพ โดยบริษัทมีทีมวิจัยเป็นของตนเองในการพัฒนาสูตร และผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพ และความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นหลัก

จากสถานการณ์ไวรัสโควิค -19 คาดว่าปีนี้ตลาดรวมจะเติบโตมากกว่าประมาณการ 5-10%  โดยบริษัทได้เตรียมความพร้อมรับมือกับการปรับเปลี่ยนในยุค New normal ที่กลายมาเป็น New norm ด้วยการขยายไลน์สินค้าในกลุ่มวิตามิน เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่หันมาใส่ใจในด้านสุขภาพมากขึ้น ในราคาที่จับต้องได้ และเน้นในเรื่องคุณภาพของสินค้าเนื่องจากมองว่าการสร้างความแตกต่างที่สำคัญในตลาดคือการรักษามาตรฐานและคุณภาพสินค้าให้ดีที่สุด

พร้อมทั้งการผสานช่องทางการจำหน่ายแบบOmni Channel ผสานและขยายช่องทางการจัดจำหน่ายเพื่อสะดวกต่อผู้บริโภคในช่องทางที่หลากหลาย ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ผ่านคีออสในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ผ่านช่องทางออนไลน์ของ อมาโด้ และ Telesales จากการออกรายการโทรทัศน์ชั้นนำ โดยมุ่งเป้าขายกลุ่มลูกค้า กลุ่มแม่บ้าน คนทำงาน

ในช่วงสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ผลักดันให้การสั่งซื้อสินค้าออนไลน์เติบโตขึ้นในทุกอุตสาหกรรมในเฟซบุ๊กเพจของอมาโด้ มียอดการเข้าถึงเติบโตเช่นเดียวกับตลาด โดยในเดือนก.พ.มีผู้เข้าถึง 22 ล้านคน และเติบโตขึ้นเป็น 34 ล้านคนในเดือนมี.ค.ซึ่งอมาโด้ได้เก็บรวบรวมฐานข้อมูลลูกค้าไว้ใน Big data โดยมีเป้าหมายผสมผสานช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ ให้มีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันมาก มีการวิเคราะห์เพื่อนำข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคเข้ามาช่วยให้ทำการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงเป้าหมายมากขึ้น และยังมีการวิเคราะห์หากลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ในทุกวิกฤตล้วนมีโอกาส การวิเคราะห์จับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อมองหาโอกาสให้กับธุรกิจได้อย่างรวดเร็วคือทางรอดของธุรกิจ

จากการปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินงานเพื่อรับมือและลดผลกระทบจากสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผลประกอบการภาพรวมเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยอดขายผ่านเทเลเซลล์ หรือการขายสินค้าผ่านรายการโทรทัศน์ที่ลูกค้าจะโทรเข้ามาเพื่อสั่งซื้อสินค้าคิดเป็น 33% ของยอดขายทั้งหมด โดยบริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ในปีนี้ไว้ที่ 1,200 ล้านบาท

บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APCO ผู้พัฒนานวัตกรรมธรรมชาติเพื่อสุขภาพและความงามด้วยการวิจัย พัฒนา ผลิตและจำหน่ายครบวงจรได้ค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “นวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัด” ด้วยการใช้สารสกัดเสริมฤทธิ์ของมังคุด ร่วมกับสารสกัดอื่นอีก 4 ชนิดคือ ถั่วเหลือง ฝรั่ง งาดำ ใบบัวบก จากการวิจัยอย่างต่อเนื่องพบว่าสามารถปรับระดับภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สมดุล เมื่อภูมิคุ้มกันร่างกายสมดุลก็ลดโอกาสที่จะป่วยไข้ และสามารถต้านทานโรคหรือภาวะอักเสบต่างๆได้ดียิ่งขึ้น งานวิจัยดังกล่าวทำให้ APCO ต่อยอดผลิตภัณฑ์ปรับปรุงสูตรให้เหมาะสมกับผู้ต้องการดูแลสุขภาพ หรือผู้มีปัญหาต่างๆ อาทิ แพ้ภูมิตัวเอง ปัญหาเบาหวาน ปัญหาข้อเข่า สะเก็ดเงิน รวมถึงผู้มีปัญหามะเร็ง และ ติดเชื้อ HIV เป็นต้น

จากกระแสการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลต่อผู้บริโภคในการให้ความสำคัญเรื่องดูแลสุขภาพและเสริมภูมิคุ้มกันมากขึ้น APCO จึงวางแผนการตลาด มุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เรื่องสุขภาพและข้อมูลผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทาง Social Media  ในเพจ “คนไม่แพ้” แนะนำวิธีดูแลตัวเองป้องกันการติดเชื้อต่างๆ เพจ “LEARN HIV” ให้ข้อมูลสำหรับการดูแลผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS เพจ “ภูมิสมดุล BIM” และ “ภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง โดย เซลล์ T พิฆาต”  ให้ข้อมูลเรื่องการดูแลผู้ที่มีปัญหาสุขภาพมะเร็ง  รวมถึงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในส่วนของ Call center 1154 และ BIM Health Center 5 สาขาทั่วประเทศ ประกอบด้วยสาขา APCO สำนักงานใหญ่ อาคาร AIA รัชดาฯ สาขาศูนย์การค้าเอสพานาด รัชดาฯ สาขาศูนย์การค้า พาราไดซ์ พาร์ค ศรีนครินทร์ สาขาสำนักงานสงขลา และ สาขาสำนักงานเชียงใหม่ เพื่อให้ข้อมูลผู้บริโภคและสามารถปิดการขายได้

ปัจจุบันบริษัทมีผลิตภัณฑ์ 2 กลุ่มคือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพ สัดส่วนยอดขาย 90% และผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง สัดส่วนยอดขาย 10% โดย APCO มีช่องทางจำหน่าย ผ่าน BIM Health Center และ Online42.30% ตัวแทนจำหน่าย 36.08% ช่องทาง Dropship 11.65% ต่างประเทศ 2% ช่องทางอื่นๆ 7.97%

นอกจากนี้มีแผนขยายกลุ่มลูกค้าผ่านการร่วมมือกันพันธมิตร ล่าสุดเตรียมจัดตั้งบริษัท APCO CHINA เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ภูมิคุ้มกันบำบัดสำหรับมะเร็ง และการติดเชื้ออื่นๆ ในประเทศจีน โดยประมาณการรายได้ต่อเนื่อง 3 ปี มูลค่ารวมประมาณ 2,000 ล้านบาท อีกทั้งยังมีพันธมิตรที่สนใจนำผลิตภัณฑ์นวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัดเข้าไปจำหน่าย ในประเทศไนจีเรีย สำหรับการติดเชื้อ HIV, COVID-19 และ มะเร็ง

จากการปรับกลยุทธ์การตลาดและการให้ข้อมูลความรู้ผ่านช่องทางต่างๆ  คาดว่าจะส่งผลให้ยอดจำหน่ายทุกผลิตภัณฑ์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น และส่งผลให้บริษัทสามารถรักษาอัตรากำไรที่ระดับ 80% ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

บริษัท แบรนด์ซันโทรี่ (ประเทศไทย) จำกัดผู้นำตลาดอาหารเสริมสุขภาพในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียภายใต้ตราสินค้า“แบรนด์”ให้ความสำคัญกับการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการวิจัยทางการแพทย์อย่างจริงจัง ทำให้แบรนด์เป็นซุปไก่สกัดเพียงเจ้าเดียวที่มีการศึกษายืนยันถึงคุณประโยชน์ โดยการทำวิจัยร่วมกับนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำจากทั่วโลกทั้งในอังกฤษ ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง มาเลเซียและสิงค์โปร์

บริษัทมีความมุ่งมั่นในการสร้างสุขภาพดีให้กับคนไทยทุกคนเสมอมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่มีสถานการณ์การระบาดบริษัทจึงได้วางมาตรการเพื่อรับมือสถานการณ์ดังกล่าว โดยเน้นย้ำเรื่อง “ความใส่ใจสุขภาพ” สะท้อนจุดยืนการเป็น “ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพ” หรือ “Health Enrichment Company” มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค ซึ่งบริษัทมองว่าจะเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรในยุค New Normal เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพนักงาน พันธมิตร และผู้บริโภค

หนึ่งในปัจจัยหลักของการเปลี่ยนแปลงคือผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับการออกไปซื้อสินค้านอกบ้าน ดังนั้นเพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค และการรักษาระยะห่างทางกายภาพตามหลัก Social Distancingบริษัทจึงขยายช่องทางจัดจำหน่ายบนอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ด้วยการตั้งร้านค้าออนไลน์อย่างเป็นทางการใน เจดี เซ็นทรัล ลาซาด้า และช้อปปี้ เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคนอกจากการเข้าไปซื้อผลิตภัณฑ์ที่เว็บไซต์แบรนด์ ออนไลน์ สโตร์ (Brand’s Online Store) หรือ www.store.brandsworld.co.th

นอกจากนี้บริษัทให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Research & Development) ด้วยการศึกษาวิจัยและเลือกสรรสารสกัดจากสมุนไพรธรรมชาติและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้นบริษัทเชื่อมั่นว่าจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนสามารถก้าวผ่านวิกฤตในครั้งนี้และก้าวเข้าสู่ยุค New Normal ไปด้วยกันอย่างแข็งแรง”