MINT ประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ที่มีลักษณะคล้ายทุนสกุลเงินเหรียญสหรัฐ

บริษัทไมเนอร์อินเตอร์เนชั่นแนลจำกัด (มหาชน) (“MINT”) มีความยินดีที่จะประกาศความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้ที่มีลักษณะคล้ายทุนสกุลเงินเหรียญสหรัฐประเภทไม่ด้อยสิทธิและมีประกันอายุ 3 ปี (“หุ้นกู้”) ในตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศจำนวน 300 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับเครดิตจากบริษัทมูดีส์ที่ระดับ Baa2 และจากบริษัทฟิทช์เรทติ้งส์ที่ระดับ BBB และมีการค้ำประกันโดยไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้จากธนาคารกรุงเทพจำกัด (มหาชน) สาขาฮ่องกง โดยหุ้นกู้ดังกล่าวมีอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ร้อยละ 3.10 ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนเริ่มต้น (Initial Price Guidance) ถึงร้อยละ 0.7 ด้วยยอดจองที่สูงกว่ายอดที่จัดสรรถึง 11 เท่า ณ จุดสูงสุดของการทำการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Book Building) จากการสนับสนุนที่อย่างเต็มที่จากนักลงทุนต่างประเทศซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของตลาดที่มีต่อ MINT โดยร้อยละ 88 ของหุ้นกู้ได้ถูกจัดสรรให้กับนักลงทุนในทวีปเอเชีย และส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 12 ได้ถูกจัดสรรให้กับนักลงทุนในทวีปยุโรป อีกทั้งประมาณร้อยละ 87 ของหุ้นกู้ได้ถูกจัดสรรให้กับผู้จัดการกองทุนและบริษัทประกันโดยเงินที่ได้รับจากการขายหุ้นกู้ดังกล่าวนี้ จะถูกนำไปชำระคืนเงินกู้ที่มีอยู่เดิมและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท ทั้งนี้ หุ้นกู้จะถูกบันทึกเป็นส่วนของผู้ถือหุ้นของ MINT ภายใต้มาตรฐานการบัญชี TAS 32 ทั้งนี้ ธนาคาร HSBC เป็นSole Global Coordinator และร่วมกับธนาคาร ANZ, BofA Securities และ Standard Chartered เป็น Joint Bookrunners ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้

การออกหุ้นกู้ที่มีลักษณะคล้ายทุนในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการสร้างความแข็งแกร่งของโครงสร้างเงินทุนแบบเบ็ดเสร็จตามที่ได้ประกาศไปก่อนหน้านี้ โดยนอกเหนือจากความสำเร็จในการออกหุ้นกู้จำนวนประมาณ 9.5 พันล้านบาทในครั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมาที่ประชุมสามัญประจำปีผู้ถือหุ้นได้อนุมัติแผนการจัดหาเงินทุนซึ่งรวมถึงการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 1 หมื่นล้านบาท และการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญซึ่งมีอายุ 3 ปีจำนวน 5 พันล้านบาท โดยคาดว่าการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนและการออกใบสำคัญแสดงสิทธิจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 ทั้งนี้ แผนการจัดหาเงินทุนทั้งหมดจำนวน 2.5 หมื่นล้านบาท ด้วยทั้ง 3 เครื่องมือทางการเงินดังกล่าวจะช่วยให้ MINT มีสภาพคล่องท่ามกลางช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนจากการระบาดของโรค COVID-19 พร้อมทั้งช่วยสร้างความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินจากส่วนของผู้ถือหุ้นที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การบริหารจัดการเงินทุนอย่างรอบคอบดังกล่าวจะส่งผลให้ฐานะทางการเงินของ MINT มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ด้วยอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่คาดว่าจะกลับมาอยู่ที่ 1.3 เท่าภายในสิ้นปี 2563 ซึ่งเป็นระดับเป้าหมายภายในของบริษัทและจะช่วยให้ MINT สามารถที่จะได้รับประโยชน์จากโอกาสในการเติบโตในตลาดหลักทั่วโลกหลังจากการระบาดของโรค COVID-19 นอกจากนี้เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการโครงสร้างเงินทุน MINT ได้รับการอนุมัติจากเจ้าหนี้ทั้งหมด ซึ่งรวมถึงผู้ถือหุ้นกู้และเจ้าหนี้ธนาคารในการแก้ไขข้อกำหนดเกี่ยวกับเงื่อนไขการดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นให้อยู่ที่ต่ำกว่า 1.75 เท่า โดยยินยอมให้ยกเว้นการทดสอบอัตราส่วนดังกล่าวในอีก 3 ไตรมาสต่อจากนี้จนถึงสิ้นปี 2563

“เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งกับความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้ที่มีลักษณะคล้ายทุนในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงแรงสนับสนุนของตลาดที่มีต่อ MINT และกลยุทธ์ในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของฐานะการเงินของ MINT โดยขั้นตอนต่อไปสำหรับบริษัทคือการดำเนินการจัดหาเงินทุนให้สำเร็จตามแผนที่ได้วางไว้” นายไบรอัน เดลานี่ ประธานเจ้าหน้าที่การเงินกล่าว “บริษัทได้ผ่านจุดวิกฤติสุดของการระบาดของโรค COVID-19 ในเดือนเมษายนมาแล้วและบริษัทพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าและสร้างการเติบโตต่อไปโดย MINT อยู่ในระหว่างการดำเนินการวางแผน “Business Beyond COVID” เพื่อให้ธุรกิจในเครือทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจปรับตัวและรองรับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของผู้บริโภคสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราจะยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้กับผู้ถือหุ้น”

ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท:บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) เป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจระดับสากล โดยประกอบ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ MINT ดำเนินธุรกิจโรงแรมทั้งในรูปแบบเป็นเจ้าของเอง บริหารจัดการ และร่วมลงทุน โดยมีโรงแรมและเซอร์วิส สวีท ทั้งสิ้น 530 แห่ง ภายใต้แบรนด์ อนันตรา, อวานี, โอ๊คส์, ทิโวลี, เอ็นเอช คอลเลคชั่น, เอ็นเอชโฮเทลส์, นาว, เอเลวาน่า,
แมริออท, โฟร์ซีซั่นส์, เซ็นต์ รีจิส, เรดิสัน บลู และโรงแรมในกลุ่มไมเนอร์อินเตอร์เนชั่นแนลใน 55ประเทศในเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง แอฟริกา คาบสมุทรอินเดีย ยุโรป อเมริกาใต้ และอเมริกาเหนือ นอกจากนี้ MINT เป็นผู้นำในธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย โดยมีร้านอาหารกว่า 2,300 สาขา ใน 26 ประเทศ ภายใต้แบรนด์ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, เดอะ คอฟฟี่ คลับ, ริเวอร์ไซด์, เบนิฮานา, ไทย เอ็กซ์เพรส, บอนชอน, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เลอร์, แดรี่ ควีนและเบอร์เกอร์ คิงอีกทั้งยังเป็นผู้นำด้านการจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์และรับจ้างผลิต ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ภายใตแบรนด์ อเนลโล่, โบเดิ้ม, บอสสินี่, บรูคส์ บราเธอร์ส, ชาร์ล แอนด์ คีธ, เอสปรี, เอแตม, โจเซฟ โจเซฟ, โอวีเอส, แรทลีย์, สโกมาดิ, สวิลลิ่ง เจ. เอ. เฮ็งเคิลส์และไมเนอร์ สมาร์ท คิดส์ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ www.minor.com