‘เอเซอร์’ ประเมินตลาดไอทีอาจไม่ ‘ติดลบ’ เพราะอานิสงส์ New Normal และ ‘Gaming’

ในปีที่ผ่านมาภาพรวมตลาดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กมียอดขายราว 2.3 ล้านเครื่อง เติบโตประมาณ 3% และแม้ปีนี้จะเจอพิษ Covid-19 เข้าไปอย่างจัง แต่ ‘เอเซอร์’ (Acer) เบอร์ 1 ในตลาดยังมองว่า ไม่ติดลบ เพราะด้วยอานิสงส์ของการ Work from Home การเรียนออนไลน์ และที่สำคัญ เกมมิ่ง ซึ่งเป็น 3 ปัจจัย New Normal ช่วยประคองตลาดอยู่

นิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์คอมพิวเตอร์ จำกัด

นิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวว่า แม้ว่าในไตรมาส 2 ของปี เอเซอร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีการเติบโต 2 หลัก รวมถึงในประเทศญี่ปุ่นและฮ่องกง แต่โดยรวมในช่วงครึ่งปีแรกติดลบไป -10% เนื่องจากผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถออกมาจับจ่ายได้ตามปกติ แต่หลังจากคลายล็อกดาวน์ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะผู้บริโภคมีความต้องการทั้งจากการ Work from Home, การเรียนออนไลน์ ที่เป็นพฤติกรรม New Normal ใหม่รวมถึงเกมมิ่งที่เติบโตอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม สำหรับตลาดประเทศไทย แม้จะเห็นความต้องการเพิ่มมากขึ้นหลังจากคลายล็อกดาวน์ แต่มองว่าภาพรวมทั้งปีทั้งตลาดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กไทยและเอเซอร์ทั้งปีอาจทำได้เพียง ‘ทรงตัว’ ยังจะไม่เติบโต เพราะเศรษฐกิจยังไม่ดี ดังนั้นอาจจะมีผู้บริโภคบางส่วนที่ยังไม่มีกำลังซื้อ

“ในไทยช่วงไตรมาส 1 ต่อไตรมาส 2 ยอดขายดร็อปลงเพราะห้างปิด แต่หลังจากห้างเปิดเราเห็นความต้องการที่พุ่งขึ้น แต่อาจจะพูดไม่ได้ว่าตลาดจะเติบโต เพราะเศรษฐกิจยังไม่ดี เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวและเกษตรไทยยังไม่ฟื้น แต่ถือว่าเป็นโชคดีของธุรกิจไอทีที่ยังทรงตัวได้ไม่ติดลบ”

ทั้งนี้ เอเซอร์ได้มีการปรับกลยุทธ์หลายอย่างในช่วง Covd-19 ที่ผ่านมา โดยในไตรมาสแรกได้เพิ่มช่องทางออนไลน์ เอเซอร์ อีสโตร์ (Acer EStore) และเพิ่มธุรกิจใหม่ ไฮพอยท์ เซอร์วิส เน็ตเวิร์ค (Highpoint Service Network) ที่เป็นด้านธุรกิจด้านเซอร์วิสให้กับแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้า Mobile Phone โดยสร้างมาเพื่อซัพพอร์ตองค์กรที่มีสินค้าหลายแบรนด์และใกล้หมดการรับประกัน ปัจจุบันเอเซอร์มีลูกค้าประมาณ 20-30 แบรนด์

“เราเคยตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากบริการจะเป็น 15% แต่จาก Covid-19 ทำให้บางองค์กรชะลอการใช้จ่าย ดังนั้นเรามารปรับเป้าใหม่ โดยมองว่าใน 3-5 ปี ส่วนของบริการจะมีสัดส่วน 15-20% ของรายได้รวมเอเซอร์”

สำหรับการตลาดหลังจากนี้ เอเซอร์จะเน้นทำการตลาดออนไลน์เป็นหลัก อาทิ ทำโปรโมชั่นร่วมกับ E-Marketplace อย่างลาซาด้า ช้อปปี้ และมีแคมเปญ Back To School ในเดือนหน้า ขณะที่ส่วนของห้างสรรพสินค้าไม่ต้องทำอะไรมา หลังจากเห็นถึงดีมานด์ที่กลับมา เพราะแม้ผู้บริโภคอาจไปห้างน้อย แต่เลือกที่จะไปซื้อสินค้าจริง ๆ

ในส่วนของตลาดองค์กร เอเซอร์ยังคงโฟกัสไปที่ ตลาดการศึกษา แม้ว่าในช่วงที่มีการเลื่อนการเรียนการสอนจะทำให้ทีมต้องหยุดทำตลาด แต่หลังจากมีเรื่องการเรียนออนไลน์ทำให้เห็นความต้องการของตลาด โดยเอเซอร์สามารถซัพพอร์ตได้ทุกรูปแบบที่สถานศึกษาต้องการ ไม่ว่าจะซื้อเหมาให้นักเรียนเช่า ซื้อไปขายนักเรียนต่อ อีกทั้งยังมีพาร์ตเนอร์ในส่วนของเน็ตเวิร์กโซลูชั่น พร้อมรองรับการเรียนการสอนออนไลน์

“ตอนนี้ปัจจัยการเลือกสินค้าไม่ใช่ตัวโปรดักต์ แต่มีเรื่องของบริการ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราได้เปรียบ และตอนนี้ตลาดที่ยังเติบโตได้ดีคือเกมมิ่ง เพราะช่วง Covid-19 คนเล่นเกมเยอะ เมื่อเปิดเทอมหรือต้องซื้อเครื่องใหม่ก็จะเบนเข็มไปที่เกมมิ่ง ซึ่งเรามองว่ามันไม่ใช่ดีมานด์เทียมแน่นอน ปัจจุบันสัดส่วนยอดขายของเอเซอร์สำหรับโน้ตบุ๊กทั่วไปอยู่ที่ 40% บางเบา 30% และเกมมิ่ง 30%”