Bluebik เปิดทริคใช้เทคโนโลยีสร้างโอกาสหลังวิกฤตโควิด-19 กางแผนธุรกิจครึ่งปีหลังพร้อมหนุนภาคธุรกิจ-ภาครัฐฯ ไทยฟื้นตัว

Bluebik เปิด 4 ปัจจัยสร้างโอกาส ชี้วิกฤตเศรษฐกิจถดถอยหลังสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เกิดช่องว่างการตลาด ช่วยสร้างโอกาสให้ผู้เล่นรายใหม่เช่นเดียวกับวิกฤตต้มยำกุ้งปี 40 อีกทั้งยังเกิดปรากฏการณ์ดิจิทัล ดิสรัปชัน และแนวโน้มการขยายธุรกิจข้ามอุตสาหกรรมอย่างเด่นชัด พร้อมทั้งการบังคับกฎหมาย พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แนะแนวทางค้นหาโอกาสและทางรอดด้วยเทคนิคลดต้นทุน การปรับใช้เทคโนโลยี เพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ และสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจผ่านพันธมิตร พร้อมกางแผนธุรกิจสนับสนุนองค์กรทั้งภาครัฐฯ และเอกชนให้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ควบคู่การเตรียมพร้อมองค์กรรับมือหากเกิดไวรัสโควิด-19 ระบาดระลอก 2

นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด–19 ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกรวมถึงเศรษฐกิจประเทศไทย จากข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund – IMF) พบว่า GDP ปี พ.ศ. 2563 ของทั้งโลกมีโอกาสติดลบ 4.9% และประเทศไทยมีโอกาสติดลบ 7.7% ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์ที่ลดลงในภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่เป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ในขณะเดียวกันยังเปิดทางให้ผู้เล่นรายใหม่ได้พลิกวิกฤตสู่โอกาสจากช่องว่างทางการตลาดที่เกิดขึ้น หากสามารถปรับตัวรับมือกับวิกฤตได้

“จากวิกฤตพบว่ามีธุรกิจบางส่วนที่หยุดชะงัก แต่ยังมีธุรกิจอีกกลุ่มหนึ่งที่สามารถคว้าโอกาสและขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปได้ โดยสรุปโอกาสทางธุรกิจออกเป็น 4 ปัจจัย ดังนี้ 1) ช่องว่างทางการตลาดจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ทำให้ผู้เล่นรายใหม่สามารถแจ้งเกิดได้ ประกอบกับอุปสงค์ใหม่ที่เกิดขึ้น เช่น พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซและธุรกิจที่เกี่ยวข้องเติบโตอย่างก้าวกระโดด 2) ดิจิทัล ดิสรัปชัน เป็นปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงภาคธุรกิจในระยะยาว เมื่อผู้บริโภคเริ่มคุ้นชินกับแพลตฟอร์มดิจิทัล ผู้ประกอบการจึงมีโอกาสเข้าถึงผู้บริโภคผ่านช่องทางออนไลน์ได้มากขึ้น ซึ่งไร้ข้อจำกัดทางด้านเวลาและสถานที่ 3) การขยายธุรกิจข้ามอุตสาหกรรม  เป็นการขยายโอกาสเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล และเพิ่มฐานลูกค้าระหว่างผู้ประกอบการที่มีความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกันในแต่ละอุตสาหกรรม เกิดเป็นความร่วมมือที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน เพื่อส่งเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจได้อย่างหลากหลายมิติมากขึ้น 4) กฎหมายบังคับใช้ใหม่ ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ และความน่าเชื่อถือของภาคธุรกิจในการดำเนินกิจกรรม พร้อมทั้งสามารถเตรียมความพร้อมในการนำข้อมูลผู้บริโภคไปใช้ต่อยอดทางธุรกิจ อาทิ ภายใต้พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ซึ่งส่งผลต่อแนวทางการปฏิบัติด้านข้อมูล หากธุรกิจปรับตัวได้เร็วเท่าใดก็จะเกิดโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจได้เร็วยิ่งขึ้น” นายพชรกล่าว

นายพชรกล่าวเพิ่มเติมว่า จากปัจจัยข้างต้น การค้นหาโอกาสและทางรอดในยุคเศรษฐกิจผันผวน คือกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรที่ช่วยสนับสนุนภาคธุรกิจและภาครัฐฯให้ฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 และเตรียมพร้อมรับมือหากเกิดการระบาดระลอก 2 ฉะนั้นองค์กรต้องเตรียมความพร้อม ด้วย 4 แนวทาง ดังนี้

  • ค้นหาโอกาสใหม่ทางธุรกิจ (New S – Curve) หรือสร้างธุรกิจใหม่ (New Venture Creation) องค์กรควรเตรียมธุรกิจให้พร้อมในช่วงนี้ เพื่อหวังสร้างผลกำไรยามเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ เพราะหากธุรกิจสามารถอยู่รอดและมีกลยุทธ์ที่ดี จะกลายเป็นอีกผู้เล่นหนึ่งที่น่าจับตา เช่น ธุรกิจค้าปลีกอาจวาง กลยุทธ์ปรับช่องทางการขายหน้าร้านเดิมให้เป็น Third Place ที่เชื่อมโยงวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ หรือเพิ่มช่องทางการขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
  • นำแพลตฟอร์มดิจิทัลมาปรับใช้ (Digital Platform) ในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เป็นช่วงชะลอตัวของภาคธุรกิจ ถือเป็นโอกาสในการนำแพลตฟอร์มดิจิทัลมาปรับใช้เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มความสะดวกในการทำงานจากที่พักอาศัย เช่น การเก็บเอกสารในรูปแบบ Soft file ซึ่งสะดวกมากกว่าการเก็บเอกสารรูปแบบเดิมที่พนักงานจำเป็นต้องเข้าออฟฟิศมาจัดการ การจัดประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ (Video Conference) เป็นอีกหนึ่งช่องทางการสื่อสารระยะทางไกล หรือการใช้เครื่องมือเพื่อช่วยในการบริหารจัดการงานร่วมกับทีม
  • ลดต้นทุน (Cost) และเพิ่มความยืดหยุ่น (Flexibility) องค์กรควรแปลงค่าใช้จ่ายจากต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) สู่ต้นทุนแปรผันตามรายได้ (Variable Cost) ทั้งด้านบุคลากรและเทคโนโลยีที่สามารถเลือกใช้บริการได้ตามต้องการเพื่อบริหารค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การให้บริการจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านภายนอกองค์กร (Outsourcing) หรือการเลือกใช้ระบบซอฟต์แวร์แอปพลิเคชัน (Software as a Service-SaaS) ซึ่งส่วนใหญ่คิดค่าบริการตามลักษณะการใช้งาน (Pay-as-you-go) จาก จำนวนผู้ใช้ ปริมาณที่ใช้ ระยะเวลาที่ใช้ เช่น การใช้งานระบบคลาวด์คอมพิวติ้งที่จะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายโดยรวมที่ถูก และสามารถเพิ่ม-ลดขนาดให้เหมาะกับธุรกิจได้ตลอดเวลา
  • สร้างพันธมิตรทางธุรกิจ (Partnership) องค์กรควรขยายโอกาสในการทำธุรกิจและปรับกลยุทธ์ในการขยายกิจการทั้งแนวตั้งและแนวนอน อาทิ การควบรวมกิจการ หรือการร่วมมือกับพันธมิตรข้ามอุตสาหกรรม ส่งผลให้มีโอกาสในการทำกำไร เพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด พร้อมทั้งลดต้นทุนผ่านการเพิ่มขนาดการผลิตในห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน (Supply Chain) จนก่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale)

สำหรับแนวทางการให้บริการครึ่งปีหลังของ Bluebik เน้นให้ความช่วยเหลือองค์กรธุรกิจและภาครัฐฯ ในการวางกลยุทธ์เพื่อตอบโจทย์ใน 4 เรื่องหลักข้างต้น ประกอบด้วย 1) การลดต้นทุน (Cost Reduction) และเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ (Flexibility) 2) การทรานส์ฟอร์มธุรกิจ (Business Transformation) และการหาโอกาสใหม่ทางธุรกิจ (New S – Curve) 3) การสร้างธุรกิจใหม่ (New Venture Creation) และ 4) การส่งเสริมการปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนด (Compliance Services) เช่น การบริหารจัดการข้อมูลลูกค้าให้เป็นไปตามพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) โดยมีรายละเอียด ดังนี้

  1. การลดต้นทุน (Cost Reduction) และเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ (Flexibility) Bluebik สามารถช่วยลูกค้าลดต้นทุนได้ด้วยการให้บริการด้าน Outsourcing เช่น การบริหารงานด้านระบบสารสนเทศ (IT Outsourcing) และการบริหารจัดการโครงการเชิงกลยุทธ์ (Strategic Project Management Officer – PMO) ที่เป็นงานที่ต้องใช้บุคลากรจำนวนมาก ซึ่งไม่คุ้มค่าในการจ้างเป็นพนักงานประจำ เพราะจะเกิดเป็นต้นทุนระยะยาว หรือการออกแบบและวางระบบคลาวด์ (Cloud Implementation) รวมทั้งบริการย้ายระบบขึ้นคลาวด์ (Cloud Migration) ที่ช่วยประหยัดเวลาและยืดหยุ่นด้านค่าใช้จ่าย
  2. การทรานส์ฟอร์มธุรกิจ (Business Transformation) และการหาโอกาสใหม่ทางธุรกิจ (New S – Curve) Bluebik มีความเชี่ยวชาญในการวางกลยุทธ์สำหรับธุรกิจใหม่ (New Business Strategy) และทรานส์ฟอร์มธุรกิจ ตามลักษณะหรือประเภทธุรกิจของลูกค้าแต่ละราย รวมถึงให้บริการออกแบบประสบการณ์ลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัล (Digital Customer Experience Design) ให้ตอบรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
  3. การสร้างธุรกิจใหม่ (New Venture Creation) Bluebik มีบริการช่วยลูกค้าที่สนใจขยายการลงทุนหรือสร้างธุรกิจใหม่ เพื่อความได้เปรียบทางการแข่งขันจากธุรกิจเดิม โดยทำหน้าที่คิดค้นกลยุทธ์เพื่อสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจร่วมกันระหว่างพันธมิตร และลูกค้า
  4. การส่งเสริมการปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนด (Compliance Services) Bluebik มีบริการช่วยเหลือธุรกิจในการเตรียมความพร้อมรับมือพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) และการออกแบบธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance) รวมทั้งให้บริการที่ปรึกษา ทบทวนและวางแผนรองรับการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง (Business Continuity Plan – BCP)

ด้านนายปกรณ์ เจียมสกุลทิพย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี Chief Technology Officer (CTO) บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่าในเวลาวิกฤตเช่นนี้ ทุกคนต้องเร่งปรับตัว โดยเราจะเห็นเทรนด์เทคโนโลยีเด่น ๆ บางอย่างที่จะตอบโจทย์ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) อาทิ การสร้างโอกาสจากข้อมูลที่อยู่บนช่องทางออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเปิดโอกาสให้กลุ่มธุรกิจได้ใช้ประโยชน์จาก Big Data เพื่อรองรับการเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาลและนำมาต่อยอดทางธุรกิจได้ รวมถึงเทคโนโลยีไร้การสัมผัส (Contactless Technology) ซึ่งรวมไปถึงระบบการรับชำระเงิน (Cashless Payment Solution) ที่จะถูกนำมาใช้กับผู้ให้บริการด้านต่าง ๆ อาทิ ร้านค้าปลีก ระบบขนส่งมวลชน ระบบการจอดรถ ฯลฯ โดยเทคโนโลยีดังกล่าว นอกจากจะสามารถนำองค์กรไปสู่การเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกต่อธุรกิจและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคอีกด้วย ปกรณ์ยังระบุเพิ่มเติมว่า ทักษะด้านดิจิทัลถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้บุคลากรทันต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อองค์กรนำดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ในกระบวนการทำงาน และอีกหนึ่งทักษะที่สำคัญที่สุดของการปรับตัวด้านดิจิทัลก็คือ ความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรม (Innovative thinking) ที่สามารถนำเสนอรูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ ที่ช่วยสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจของตนอีกด้วย

นอกจากนี้ นายปกรณ์ยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทายในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขององค์กร 2 ประเภท คือองค์กรที่ยังไม่พร้อมในการปรับใช้เทคโนโลยี ควรมองหาผู้ช่วยหรือที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการวางแผนเพื่อนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ เนื่องจากหากทำเองอาจทำให้เริ่มต้นผิดจุดและมีค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาล รวมทั้งมีต้นทุนค่าเสียโอกาสเกิดขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการออกแบบประสบการณ์ของผู้ใช้งาน (User Experience – UX) และการออกแบบอินเตอร์เฟซเพื่อติดต่อกับผู้ใช้งาน (User Interface – UI) ในทางกลับกัน องค์กรที่มีความพร้อม อาจมองหาเครื่องมือที่เข้ามาช่วยทำให้ระบบการทำงานภายในเป็นอัตโนมัติมากขึ้น รวมทั้งควรนำแนวคิดการทำงานแบบ DevOps (การทำงานร่วมกันระหว่างทีมผู้พัฒนาและทีมปฏิบัติการให้ทำงานด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อนของกระบวนการ) และแนวคิดการทำงานแบบ CI/CD (Continuous Integration / Continuous Deployment – กระบวนการในการทำงานในด้านพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อลดระยะเวลาในการพัฒนา รวมทั้งรองรับการเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ง่าย เนื่องจากมีการดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและเป็นไปอย่างอัตโนมัติและทราบผลลัพธ์ได้ทันที) มาปรับใช้เพื่อทำให้สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์สู่ตลาดได้รวดเร็วมากขึ้น

นางฉันทชา สุวรรณจิตร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ Chief Operation Officer (COO) บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด กล่าวเสริมว่า นอกเหนือจากการให้บริการที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และที่ปรึกษาด้านไอทีแล้วนั้น ในปีนี้บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นช่วยลูกค้าในการปรับตัวเพื่อรองรับความปกติใหม่ (New Normal) เพื่อให้กระบวนการทางธุรกิจของลูกค้ามีความเชื่อมโยงและสมดุลมากขึ้นทั้งในส่วนของกระบวนการหน้าบ้านและกระบวนการหลังบ้านจากการนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยการปรับกระบวนการทางธุรกิจนั้นจะช่วยให้องค์กรของลูกค้าไปสู่ความเป็นเลิศในการดำเนินงาน ‘Operational Excellence’ ภายใต้ 3 วัตถุประสงค์หลัก ได้แก่ กระบวนการการทำงานที่มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล สูงสุด รวมทั้งสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงทีอีกด้วย