เศรษฐกิจเกาหลีใต้เข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิคครั้งแรกในรอบ 17 ปี หลังมูลค่าการส่งออกทรุดฮวบจากผลกระทบของโรคระบาดใหญ่ COVID-19
ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) แถลงวันนี้ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2 (เม.ย.-มิ.ย.) หดตัวลงอีก 3.3% จากเดิมที่หดตัว 1.3% ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2003 ที่เศรษฐกิจหดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส และยังเป็นการหดตัวรายไตรมาสที่รุนแรงสุดตั้งแต่ปี 1998
ตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดทำให้เกาหลีใต้กลายเป็นอีกหนึ่งประเทศในเอเชียที่เข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิคจากพิษ COVID-19 ตามหลังญี่ปุ่น, ไทย และสิงคโปร์
มูลค่าการส่งออกของเกาหลีใต้ลดลง 16.6% ซึ่งถือว่าหนักสุดตั้งแต่ปี 1963 ขณะที่การนำเข้าสินค้าก็ลดลง 7.4% แต่การบริโภคภาคเอกชนยังปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.4% โดยได้อานิสงส์จากการจับจ่ายซื้อสินค้าคงทนจำพวกรถยนต์และเครื่องใช้ภายในบ้าน
พัค ยังซู หัวหน้าฝ่ายสถิติเศรษฐกิจของ BOK แถลงว่า “เศรษฐกิจเกาหลีใต้เริ่มส่งสัญญาณขาลงตั้งแต่เดือน ต.ค. ปี 2017 และการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ก็เป็นปัจจัยเร่งให้เศรษฐกิจยิ่งซบเซาหนัก”
ฮง นัมกี รัฐมนตรีกระทรวงการคลังเกาหลีใต้ ยอมรับว่า การชัตดาวน์เศรษฐกิจทั่วโลกทำให้บริษัทเกาหลีใต้จำเป็นต้องระงับสายการผลิตในต่างประเทศ เช่น เวียดนามและอินเดีย ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อยอดการส่งออก
BOK คาดการณ์เมื่อเดือน พ.ค. ว่าเศรษฐกิจเกาหลีใต้จะหดตัวราว 0.2% ในปี 2020 จากเดิมที่ประเมินไว้เมื่อเดือน ก.พ. ว่าจะขยายตัว 2.1%
อย่างไรก็ตาม ลี จูยอล ผู้ว่าการธนาคารกลางเกาหลีใต้ ยอมรับเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าคงจะต้องปรับลดคาดการณ์ลงอีก “อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” เนื่องจากการส่งออกสินค้าและบริการย่ำแย่กว่าที่คาดไว้
“ตัวเลขการเติบโตตลอดทั้งปีขึ้นอยู่กับว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวเร็วแค่ไหน จีนสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจกลับมาได้อย่างรวดเร็ว เราก็อาจเดินตามรอยพวกเขาได้เหมือนกัน”
นักเศรษฐศาสตร์มองเห็นสัญญาณที่เกาหลีใต้ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของเอเชียจะกลับมาฟื้นตัวในไตรมาส 3
“ผมมั่นใจว่าเศรษฐกิจเกาหลีใต้จะฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง เพียงแต่จะมากหรือน้อยเท่านั้น” โอะห์ ซุกแท นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากธนาคาร Societe Generale ในกรุงโซลระบุ “ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ว่า เศรษฐกิจจะฟื้นในรูปตัว U หรือตัว V ซึ่งผมมองว่ามันขึ้นอยู่การพัฒนาวัคซีน COVID-19 ว่าจะสำเร็จเมื่อไหร่ และเราจะประคองสถานการณ์ไปจนถึงวันนั้นได้หรือไม่”