ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2020 ที่มีปัจจัยอย่างการระบาดของไวรัส COVID-19 ซึ่งส่งผลอย่างมากกับธุรกิจ วิดีโอสตรีมมิ่ง เพราะช่วยผลักดันให้ผู้บริโภคสมัครใช้งานเป็นจำนวนมากอย่างที่เคยไม่มีมาก่อน ส่งผลให้บริษัทสื่อต่างให้ความสำคัญกับตลาดสตรีมมิ่งมากขึ้น ขณะที่ธุรกิจอื่น ๆ เช่น ทีวี, โรงภาพยนตร์ และกีฬา ต้องอยู่ภายใต้แรงกดดัน หากพฤติกรรมผู้บริโภคนั้นคุ้นชินกับสตรีมมิ่งเร็วและมากกว่าที่เคย
Disney+
ไม่มีบริษัทสื่อใดจับจุดสำคัญในการสตรีมมิ่งได้ดีไปกว่า ดิสนีย์ (Disney) โดยในช่วงเวลาไม่ถึง 1 ปี Disney + มีผู้ใช้บริการมากกว่า 60 ล้านคน ซึ่งในความเป็นจริงนั้น ตัวเลขดังกล่าวเป็นเป้าหมายที่ดิสนีย์วางไว้ 4 ปีด้วยซ้ำ หรือก็คือสร้างการเติบโตให้ได้ 60 ถึง 90 ล้านคนภายในปี 2567 และอย่าลืมว่าบริการดังกล่าวยังไม่เปิดให้บริการทั่วโลก ดังนั้น การเติบโตดังกล่าวจึงน่าประหลาดใจมาก โดยปัจจุบันการสมัครรับข้อมูลสตรีมมิ่งของ Disney+ รวมถึง Hulu และการเติบโตของ ESPN + รวมกว่า 100 ล้านคน
“แม้จะเผชิญกับความท้าทายจากการระบาดของโรคเราก็สามารถดำเนินการตามขั้นตอนที่รอบคอบและสร้างสรรค์ในการดำเนินธุรกิจของเรา ในขณะเดียวกัน เราให้ความสำคัญอย่างมากกับการพัฒนาและขยายธุรกิจโดยตรงสู่ผู้บริโภคซึ่งเราเห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดและเป็นกุญแจสำคัญในอนาคตของบริษัท” Bob Chapek CEO กล่าว
ทั้งนี้ Chapek แสดงให้เห็นว่าการทำธุรกิจโดยตรงสู่ผู้บริโภคมีความสำคัญต่ออนาคตของดิสนีย์เพียงใด หลังจากที่บริษัทเตรียมสร้างบริการสตรีมมิ่งใหม่ภายใต้ชื่อ ‘Star’ ที่จะเปิดตัวในระดับสากลในปีหน้า โดยเชื่อมโยงกับแบรนด์ Star India ที่ Disney ได้มาหลังจากที่เข้าซื้อกิจการของ ‘Fox’ นอกจากนี้ ยังดึง ‘มู่หลาน’ ลงฉายใน Disney + พร้อมกับการฉายในโรงภาพยนตร์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสนับสนุนการใช้งาน Disney + และทดสอบความต้องการในการซื้อแพ็กเกจแบบพรีเมียมสำหรับเนื้อหาระดับพรีเมียมอีกด้วย
Netflix
ผู้นำด้านพื้นที่สื่อสตรีมมิ่งแบบสมัครสมาชิก (Subscription) ที่ยังคงเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงไตรมาส 2 ด้วยจำนวน 10 ล้านราย ขณะที่จำนวนสมาชิกในไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น 15.7 ล้านราย รวมสมาชิกในปัจจุบันกว่า 193 ล้านราย โดยการเติบโตดังกล่าวมีปัจจัยหนุนมาจากมาตรการล็อกดาวน์ของประเทศต่าง ๆ เนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19
แม้ว่า Netflix จะเติบโตขึ้นอย่างมากก็จริง แต่หุ้นกลับตกลงเนื่องจาก Reed Hastings ซีอีโอร่วม ออกมาระบุว่า การเติบดังกล่าวอาจจะไม่ใช่การเติบโตอย่างยั่งยืนหากหมดช่วงล็อกดาวน์ พร้อมคาดว่าในช่วงไตรมาส 3 จะมีสมาชิกเพิ่มขึ้น 2.5 ล้านราย โดยนักวิเคราะห์ระบุว่านี่เป็นผลมาจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วในตอนระบาดหนักเมื่อครึ่งปีแรก
“เราต้องการมีคอนเทนต์ฮิตที่มากที่สุด จนเมื่อคุณมาที่ Netflix คุณก็สามารถดูคอนเทนต์ที่ฮิตได้โดยไม่ต้องคิดถึงบริการอื่น ๆ เหล่านั้น”
HBO Max
เมื่อ 2 ปีก่อนบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของอเมริกา ‘AT&T’ ประกาศควบรวมกิจการกับ Time Warner และได้เปลี่ยนชื่อเป็น Warner Media ซึ่งเป็นเจ้าของคอนเทนต์ดัง ๆ อย่าง ช่องหนัง HBO ช่องข่าวอันดับ 1 CNN หรือแม้แต่ช่องการ์ตูน Cartoon Network หรือ Boomerang จากนั้น AT&T ก็เดินหน้าลุยตลาดสตรีมมิ่ง โดยเปิดตัวสตรีมมิ่ง ‘HBO’ ตามด้วย ‘HBO Max’ โดย AT&T อธิบายว่าการเปิดตัว HBO Max เป็นความสำเร็จ โดยช่วยเพิ่มกลุ่มลูกค้าโดยรวมของ HBO และ HBO Max ได้ 4 ล้านรายในครึ่งปีแรก โดยมีผู้ใช้บริการรวมทั้งหมด 36.3 ล้านราย
อย่างไรก็ตาม ด้วยความซับซ้อนของการให้บริการของ HBO และ HBO Max ส่งผลให้ HBO สูญเสียสมาชิกไปกว่า 2 ล้านคนในไตรมาสแรก แต่ปัจจุบันก็มีสมาชิกใหม่เพิ่มเกือบ 3 ล้านราย
Peacock
หลังจากเปิดตัวครั้งแรกให้กับสมาชิก Comcast ในช่วงกลางเดือนเมษายนก่อนที่จะเปิดตัวทั่วประเทศในวันที่ 15 กรกฎาคม ‘Peacock’ แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งจากค่าย ‘NBCUniversal’ ที่ให้ดูฟรีแต่มีโฆษณา ก็สามารถสร้างผู้ใช้ได้ถึง 10 ล้านรายภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือนหลังจากเปิดตัว Jeff Shell ซีอีโอของ NBCUniversal กล่าวว่า แนวโน้มต่าง ๆ นั้นดีเกินคาด อย่างไรก็ตาม ยังเป็นเพียงช่วงเริ่มต้นเท่านั้น แม้บริการจะเติบโต แต่ทุกคนก็จับตาดูอยู่ว่าหากมาตรการล็อกดาวน์หมดไป จำนวนผู้บริโภคจะไปในทิศทางใดจาก