เชื่อหรือไม่ ในอนาคตอันใกล้นี้ เทคโนโลยีจะทำให้หลังบ้านของธุรกิจมีการบริหารจัดการสินค้าสุดฉลาดล้ำผู้ผลิตจะตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคได้ตรงจุดและทันเวลาจนไม่ต้องมีการผลิตเผื่อเหลือเผื่อขาดให้สิ้นเปลืองไม่ต้องสต๊อกสินค้าโกดังขนาดใหญ่โตมโหฬารไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุค No Inventory, No Warehouse
ดร.สุเทพ นิ่มสาย หัวหน้าสาขาการจัดการและกลยุทธ์ วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดลกล่าวถึงความเจ็บปวดในอดีตของคนทำมาค้าขาย คือการต้องผลิตหรือสั่งของมาจำนวนมาก ทุ่มทุนไปจำนวนมหาศาลให้หน้าร้านมีสินค้าพร้อมรับลูกค้าทุกกลุ่ม โดยเฉพาะธุรกิจขายเสื้อผ้าหรือรองเท้าที่ต้องมีทุกสีทุกไซส์แล้วมาเก็บข้อมูลในภายหลังว่าลูกค้านิยมสินค้าประเภทไหน (SKU ใดขายดีที่สุด) แน่นอนว่าผู้ประกอบการต้องยอมต้นทุนจมกับสินค้าบางประเภท ยิ่งเป็นธุรกิจที่ทำมานานนับสิบปี อาจต้องจมอยู่กับสินค้าที่ตกยุคสมัยไปแบบไม่มีวันหวนกลับ นอนนิ่งอยู่ในมุมลึกสุดของโกดัง
“เคยมีผู้บริหารธุรกิจร้อยล้านท่านหนึ่งยอมรับว่า เพิ่งได้คำนวณต้นทุนของการเก็บสินค้าไว้ ทั้งค่าเช่าโกดัง ค่าแอร์ ค่าจ้างคนเฝ้าโกดัง ปรากฏว่าเงินที่เสียไปในหลายปีที่ผ่านมาสูงกว่ามูลค่าของในโกดังเสียอีก พูดง่ายๆคือหากนำของเหล่านี้ไปบริจาคเสียแต่ทีแรกยังจะคุ้มกว่า”
ในช่วงหลังมานี้ที่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซเฟื่องฟู เกิดธุรกิจสตาร์ทอัพแนวใหม่ขึ้นมาที่เรียกว่าธุรกิจ Fulfillment บริการคลังสินค้าพร้อมจัดส่ง เป็นบริการที่อำนวยความสะดวกเพื่อธุรกิจค้าขายออนไลน์ในเรื่องของพื้นที่จัดเก็บแพ็ค และจัดส่งสินค้า เป็นการบริหารจัดการเรื่องโลจิสติกส์ให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนต่ำลง นับว่าเป็นการนำศาสตร์ของการบริหารจัดการ มาบวกกับนวัตกรรม Cloud Computing คำนวณสต็อกแบบเรียลไทม์ อย่างไรก็ตาม เป้าหมายสูงสุดวงการซัพพลายเชนและโลจิสติกส์ คือการลดการสูญเสียระหว่างทางให้ได้มากที่สุด และไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การผลิตของออกมาทุกชิ้นตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคและส่งตรงถึงมือด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด
คุณพจมาน ภาษวัธน์ ประธานชมรมวิชาชีพซัพพลายเชนและโลจิสติกส์ไทย (TSCMP) และอาจารย์ NEO Academy หลักสูตรInnovative Supply Chain & Logistics Managementกล่าวว่า ความฝันนี้ไม่ไกลเกินเอื้อมเพราะด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน ทำให้เราทราบได้ทันทีว่าผู้บริโภคต้องการอะไรก่อนที่จะถึงหน้าร้านเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลบนโลกโซเชียลมีเดีย หรือใน Smart phone ที่เชื่อมกับ Smart wearable device บอกพฤติกรรมของผู้บริโภคได้ 24 ชั่วโมงข้อมูลมหาศาลเหล่านี้ทำให้ผู้ผลิตสามารถผลิตให้ตรงความต้องการผู้บริโภคได้ เป็นการทำ Customization โดยที่เราไม่ทันรู้ตัวและความฉลาดไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านี้ ผู้ผลิตในอนาคตสามารถครอบงำให้ผู้บริโภคเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง โดยใช้ Big data โน้มน้าวให้ผู้บริโภคเลือกสิ่งที่ผลิตอยากนำเสนอ
“หากคุณกำลังเดินไปซื้อสลัดหนึ่งถ้วย คุณชื่นชอบน้ำสลัดครีม แต่ทางร้านมีข้อมูลสุขภาพของคุณครบถ้วน (ทางร้านอาจไปเชื่อมข้อมูลกับ Googleที่เพิ่งปิดดีลซื้อ Fitbit มาได้สำเร็จ) ทำให้ทางร้านเห็นพฤติกรรมและข้อมูลโภชนาการของคุณมาโดยตลอด มันกำลังแสดงผลว่าคุณมีความเสี่ยงเป็นโรคอ้วน ทางร้านจึงได้แนะนำด้วยความหวังดีว่า คุณควรทานสลัดน้ำใส และคุณก็ซื้อสลัดน้ำในไปในที่สุด เบื้องหลังคือทางร้านได้เตรียมสลัดน้ำใสไว้รออยู่แล้ว และไม่มีสลัดครีมอยู่เลย”
นี่คือโลกแห่งอนาคตของคำว่าNo Inventory, No Warehouse และยังทำให้ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจได้ประโยชน์ถ้วนหน้าหรือหากคุณคิดว่ายังยืนยันที่จะสั่งสลัดครีมคราวหน้าทางร้านก็พร้อมเตรียมผลิตสลัดครีมให้คุณรอไว้แล้ว
ปัจจุบันความรู้ด้านเทคโนโลยี รวมถึงการเข้าใจผลกระทบของเทคโนโลยีต่อระบบซัพพลายเชนและโลจิสติกส์เป็นสิ่งจำเป็นมาก NEO Academy โดยวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้เริ่มเปิดหลักสูตรประกาศนียบัตรการบริหารนวัตกรรมโซ่อุปทานและโลจิสติกส์ (Mini MBA: Innovative Supply Chain & Logistics Management) ในรูปแบบ Interactive Online สำหรับบุคคลทั่วไปหรือนักธุรกิจที่สนใจ เพื่อผสมผสานศาสตร์ด้านการบริหารจัดการ มาประยุกต์ใชในวงการโลจิสติกส์ หัวข้อที่มีการเรียนการสอน นอกจากเรื่องของนวัตกรรมโซ่อุปทานและเครื่องมือการวางแผนเพื่อการจัดการแล้ว ยังมีการทำเวิร์กชอปวางแผนการบริหารจัดการสินค้าและขนส่ง โดยคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยมหิดล และผู้เชี่ยวชาญ ผู้บริหารระดับสูงในบริษัทชั้นนำของไทยมาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.neobycmmu.com/mini-mba-supply-chain-logistics