บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย สร้างความสำเร็จในปี 2563 แห่งประวัติศาสตร์ ครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์พรีเมียมไทย

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ปิดศักราช 2563 คว้าตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์พรีเมียมประเทศไทย ด้วยยอดส่งมอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิรวมทั้งหมด 12,426 คันระหว่างเดือนมกราคมถึงธันวาคม 2563 ส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มรถยนต์พรีเมียมของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยทะยานขึ้นสู่ 51.2% แม้จะต้องเผชิญหน้ากับปีที่ท้าทายที่สุดในประวัติศาสตร์

ท่ามกลางความท้าทายที่เกิดขึ้นในปี 2563 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยได้ส่งมอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูรวม 11,242 คัน ลดลง 4.3% จากปีก่อนหน้า ขณะที่มินิมียอดการส่งมอบ 1,184 คัน ลดลงจากปีก่อนหน้าเล็กน้อยที่ 1.7% ด้านบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ยังคงรักษาผลงานที่แข็งแกร่งไว้ได้ด้วยยอดส่งมอบ 1,224 คัน แม้จะต้องประสบกับสถานการณ์โรคระบาดในปีที่ผ่านมา

การสร้างสถิติความสำเร็จในครั้งนี้ ตอกย้ำถึงการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยในปีที่ผ่านมาจากกลยุทธ์ที่ยึดความต้องการของผู้บริโภคเป็นหัวใจหลัก ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวด้านดิจิทัล การนำเสนอยนตรกรรมรุ่นใหม่ออกสู่ตลาด ไปจนถึงการมอบพลังแห่งทางเลือกที่ยืดหยุ่นและหลากหลายให้แก่ลูกค้า ควบคู่กับการยกระดับประสิทธิภาพด้านการผลิต รวมทั้งความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนเจตนารมณ์ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและความยั่งยืนในสังคมไทย พร้อมเดินหน้าต่อยอดความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในปี 2564

ในระดับโลก บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำระดับโลกในตลาดรถยนต์พรีเมี่ยมอย่างต่อเนื่อง ด้วยยอดการส่งมอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และโรลส์-รอยซ์ รวมทั้งหมด 2,324,809 คันทั่วโลก ขณะที่ยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 31.8% จากปีก่อนหน้า ด้วยยอดส่งมอบรวม 192,646 คันจากบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ สะท้อนถึงความต้องการด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างมากทั่วโลก ด้านบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ก็สร้างสถิติการเติบโตด้วยยอดส่งมอบรถมอเตอร์ไซค์และสกูตเตอร์ทั้งหมด 169,272 คันในปี 2563 ที่ผ่านมา สร้างตัวเลขผลงานยอดขายสูงสุดเป็นอันดับที่สองในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ท่ามกลางความท้าทายมากมายจากสถานการณ์โรคระบาด

มร.อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2563 นับเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ที่เหนือความคาดหมายของทุกคน แต่ในปีที่เราต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งประวัติศาสตร์นี้ เราก็ได้สร้างความสำเร็จครั้งสำคัญที่สุดและก้าวสู่การเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์พรีเมียมประเทศไทย แม้ตลาดรถยนต์โดยรวมของประเทศไทยหดตัวมากถึง 31% แต่เราก็สร้างผลงานที่เหนือกว่าตลาดในเซกเมนต์พรีเมียม และครองส่วนแบ่งตลาดมากถึง 51.2% ซึ่งเป็นผลจากการนำเสนอทางเลือกระบบขับเคลื่อนที่หลากหลาย การบริการหลังการขายที่ยืดหยุ่น และการปรับตัวด้านดิจิทัลอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2563 เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของผู้บริโภค”

“ความสำเร็จของปีที่ผ่านมานั้นชัดเจน เราได้ปฏิรูปทั้งวิธีคิดและการทำงาน อีกทั้งยังพลิกโฉมช่องทางการเข้าถึงลูกค้าต่าง ๆ ไปสู่ช่องทางดิจิทัล เราได้ค้นพบหนทางที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์แม้จะต้องต่อสู้กับความท้าทายมากมาย วันนี้ผมจึงอยากขอขอบคุณลูกค้าทุกคนที่ยังคงเชื่อมั่นในแบรนด์ต่าง ๆ ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เรามีความหลงใหลในสิ่งที่เราทำ ซึ่งแรงผลักดันที่สำคัญที่สุดของเราก็คือลูกค้าทุกคน เรามุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีใหม่ๆที่น่าตื่นเต้นมาเพื่อลูกค้าของเราในปีนี้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้แล้วผมยังอยากขอขอบคุณผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของเราทุกราย ที่ไม่ลดละความมุ่งมั่นในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด ความกดดันที่เกิดจากโรคระบาดโควิด-19 ครั้งนี้เป็นความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ของตลาดยานยนต์ แต่เราก็ได้ร่วมฝ่าฟันอุปสรรค และร่วมกันสร้างความสำเร็จอันน่าประทับใจครั้งนี้ไปพร้อม ๆ กัน” มร. บารากา กล่าว

ความสำเร็จแห่งปี 2563: จากการปรับตัวด้านดิจิทัลและพลังแห่งทางเลือก สู่ตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์พรีเมียม

จากการยึดมั่นในความต้องการของผู้บริโภค บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยได้พลิกโฉมการนำเสนอประสบการณ์ด้านยนตรกรรมให้แก่ลูกค้าตลอดทั้งปี 2563 การปรับตัวด้านดิจิทัลกลายเป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมต่อกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอทางเลือกในการเข้าชมและสั่งจองรถยนต์ในงานมอเตอร์โชว์และงานมอเตอร์เอ็กซ์โปผ่านช่องทางออนไลน์ควบคู่กับการเดินชมงานแบบปกติ ตลอดจนการเปิดตัวรถยนต์ใหม่ผ่านช่องทางออนไลน์พร้อมมอบข้อเสนอทางการเงินสุดพิเศษแบบเรียลไทม์ และยังได้ขยายการตอบโจทย์แฟน ๆ ด้วยการจัดงาน BMW Xpo ในรูปแบบใหม่ ที่คำนึงถึงความต้องการและความสะดวกของลูกค้ายิ่งขึ้น โดยนำประสบการณ์สไตล์บีเอ็มดับเบิลยูมาให้ลูกค้าได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดในศูนย์การค้า 4 แห่งทั่วกรุงเทพมหานคร

ที่สำคัญ การมอบพลังแห่งทางเลือกเป็นหัวใจหลักในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย จึงตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของลูกค้าได้อย่างตรงจุด โดยทั้งบีเอ็มดับเบิลยูและมินิได้เปิดตัวรถไปกว่า 20 รุ่น ครอบคลุมตั้งแต่รถยนต์สันดาปภายในทั้งเบนซินและดีเซล รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ไปจนถึงรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ทั้งในรูปแบบรถซีดาน รถอเนกประสงค์ SAV และรถสปอร์ตสมรรถนะสูง ซึ่งเฉพาะสำหรับประเภทรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยได้เปิดตัวรุ่นใหม่ไปถึง 4 รุ่น ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู 745Le xDrive M Sport บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive30e M Sport และบีเอ็มดับเบิลยู X5 xDrive45e M Sport รวมถึงรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % รุ่นแรกจากมินิอย่าง มินิ คูเปอร์ เอสอี พร้อมสานต่อความมุ่งมั่นในขับเคลื่อนพลังสะอาดอย่างยั่งยืน ด้วยการเดินหน้าขยายเครือข่ายสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะ ChargeNow ซึ่งปัจจุบันมีหัวจ่าย ChargeNow ทั้งหมด 111 หัวจ่าย ใน 67 แห่งทั่วประเทศไทย

นอกจากทางเลือกที่ยืดหยุ่นและผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายครอบคลุมทั้งความต้องการด้านยนตรกรรมและไลฟ์สไตล์ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยยังร่วมมือกับเครือข่ายผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการในการขยายบริการที่รวดเร็ว สะดวกสบาย และได้มาตรฐานในระดับโลกให้แก่ลูกค้าทั่วประเทศ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งข้อพิสูจน์ถึงตำแหน่งผู้นำของบีเอ็มดับเบิลยูในตลาดยนตรกรรมพรีเมียมไทย

ยอดผลิตที่แข็งแกร่งตอกย้ำศักยภาพอันยอดเยี่ยมของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย

แม้ว่าจะมีการหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทานครั้งยิ่งใหญ่ในปี 2563 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ยังคงรักษาความแข็งแกร่งไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยความสำเร็จในการรักษาความต่อเนื่องและความยืดหยุ่นในการผลิตและประกอบยานยนต์ตลอดทั้งปี ร่วมกับความต้องการที่ยังคงเข้มแข็งจากทั้งตลาดเอเชียและในประเทศไทย รวมไปถึงความเชื่อมั่นในแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู ส่งผลให้โรงงานประกอบยานยนต์ จังหวัดระยอง สามารถสร้างผลงานภาพรวมปี 2563 ได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยยอดการประกอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูกว่า 23,177 คัน และยอดประกอบมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดที่ 8,875 คัน

เพื่อตอบโจทย์ความต้องการระบบขับเคลื่อนที่หลากหลายของลูกค้า และสนับสนุนการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าในประเทศ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย นับเป็นผู้ประกอบยานยนต์รายแรกและรายเดียวในประเทศไทยที่สามารถประกอบและส่งมอบยนตรกรรมในระบบขับเคลื่อนต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2558 ไม่ว่าจะเป็นระบบเครื่องยนต์สันดาปภายใน ระบบปลั๊กอินไฮบริด และระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าล้วน ปัจจุบัน โรงงานประกอบยานยนต์ของบีเอ็มดับเบิลยู ณ จังหวัดระยอง สามารถประกอบรถยนต์และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยูในประเทศได้กว่า 16 รุ่น โดยในจำนวนนี้เป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด 5 รุ่น และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด รวมอีก 9 รุ่น

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ยังพร้อมส่งเสริมและยกระดับศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการผลิตยนตรกรรมระดับโลก ผ่านโครงการ BMW Dual Excellence Program ที่จัดทำมาตั้งแต่ปี 2558 เพื่อบ่มเพาะทักษะและพัฒนาความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมเมคคาทรอนิกส์ในหมู่นักศึกษาอาชีวะขั้นสูงในประเทศไทย โดยมีนักศึกษาคิดเป็น 35% จากโครงการดังกล่าวได้เข้าร่วมงานกับโรงงานบีเอ็มดับเบิลยูในจังหวัดระยอง โดยในจำนวนนี้คิดเป็นนักศึกษาหญิงกว่า 27% ตอกย้ำความมุ่งมั่นระยะยาวของบีเอ็มดับเบิลยูในการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย และความพยายามในการขับเคลื่อนความหลากหลายและความเท่าเทียมในที่ทำงานอย่างต่อเนื่องของบริษัท

บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย มุ่งหน้าเข้าสู่ปีแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปี หลังสร้างสถิติยอดสินเชื่อสูงสุดและมูลค่าสินเชื่อรวมในพอร์ตสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2563 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป

บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ประกาศสถิติยอดสินเชื่อสูงสุดเป็นประวัติการณ์ด้วยมูลค่า 16,770 ล้านบาทในปี 2563 ท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ในประเทศไทย

มร. บียอร์น แอนทอนส์สัน ประธานกรรมการบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย กล่าวว่า “ในช่วงสถานการณ์โรคระบาด เราได้ออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนทั้งลูกค้าและผู้จำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นการพักชำระหนี้ การขยายระยะเวลาการให้สินเชื่อ ไปจนถึงการขยายระยะเวลาการผ่อนชำระ ซึ่งเราได้ร่วมมือกับพันธมิตรผู้จำหน่ายของเราในการมอบการบริการระดับพรีเมียมอย่างต่อเนื่องเช่นเดิม”

การมอบประสบการณ์และผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมให้แก่ลูกค้าเป็นหัวใจหลักผ่านการนำเสนอนวัตกรรมทางการเงินดังต่อไปนี้

  • Freedom Choice โปรแกรมทางการเงินมีจำนวนสัญญาเช่าซื้อเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2562
  • สำหรับรถยนต์มือสองและลูกค้าองค์กร บีเอ็มดับเบิลยูได้นำเสนอที่สุดแห่งความคุ้มค่า คุณภาพ และบริการ
  • บีเอ็มดับเบิลยูได้ลงทุนจำนวนมากในการวางระบบการทำงานใหม่เพื่อยกระดับขั้นตอนในการบริการลูกค้าให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  • นำเสนอบริการเพิ่มเติมผ่าน LINE Official Account ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 600,000 คน ซึ่งสามารถให้บริการเพิ่มเติมและให้ความสำคัญกับลูกค้ารายปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น
  • ยกระดับการเข้าถึงผ่านช่องทางดิจิทัลด้วยการค้นหารถยนต์ที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ที่สุด (Preference Finder) การสัมผัสรถบีเอ็มดับเบิลยูซีรี่ส์ 2 และ ซีรี่ส์ 3 แบบเสมือนจริงผ่านระบบ Augmented Reality และการร่วมนำเสนอบริการผ่านช่องทางออนไลน์ในงานมอเตอร์โชว์และมอเตอร์เอ็กซ์โป กับบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย

“จากการนำเสนอนวัตกรรมเหล่านี้ เราจึงได้สร้างสถิติครั้งใหม่ด้วยยอดสินเชื่อรวมในพอร์ตสูงสุดถึง 50,500ล้านบาท ซึ่งแม้จะปี 2563 จะเป็นปีที่ท้าทายมาก แต่ก็ยังเป็นปีที่เราประสบความสำเร็จมากเช่นกัน และในปี 2564 นี้ ยังมีการฉลองครบรอบ 20 ปีของบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ซึ่งเราได้เตรียมข้อเสนอที่พิเศษสุด ๆ เพื่อฉลองการครบรอบครั้งนี้ไว้ให้ลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูได้รอติดตามกัน” มร. แอนทอนส์สัน กล่าว

นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังดำเนินโครงการแคร์ ฟอร์ วอเตอร์มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสานต่อภารกิจในการมอบระบบกรองน้ำพร้อมถ่ายทอดวิธีดูแลรักษาระบบกรองน้ำและความรู้ในการบริหารจัดการน้ำสะอาด เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ชาวบ้านในชุมชนอย่างยั่งยืน โดยตั้งแต่ริเริ่มโครงการในปี 2558 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้ส่งมอบระบบกรองน้ำให้แก่ 93 ชุมชนที่ขาดแคลนน้ำสะอาดใน 32 จังหวัดทั่วประเทศไทย ช่วยให้สมาชิกในชุมชนกว่า 691,800 คนสามารถเข้าถึงน้ำสะอาดได้ในชีวิตประจำวัน