ที่ 4 ไม่ไหว ‘เสียวหมี่’ ขอขึ้นเบอร์ 3 ให้เร็วที่สุด ด้วย ‘สมาร์ทโฟน 5G’

ภาพรวมตลาดสมาร์ทโฟนโลกในปี 2020 นั้นซบเซาเพราะพิษ COVID-19 อย่างหนัก ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวก็เปิดโอกาสให้หลาย ๆ แบรนด์ได้แย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจากเจ้าตลาด และหนึ่งในผู้ที่สามารถคว้าโอกาสได้มากสุดเห็นจะเป็น ‘เสียวหมี่’ (Xiaomi) เพราะสามารถก้าวขึ้นมาเป็น ‘เบอร์ 3’ แบรนด์สมาร์ทโฟนโลก โดยในเซ็กเมนต์พรีเมียมสามารถเติบโตได้ถึง 3,639% ส่วนประเทศไทยเสียวหมี่ก็สามารถเติบโตได้ 234% เป็นเบอร์ 4 สมาร์ทโฟนในไทยมีส่วนแบ่ง 11% แต่เสียวหมี่ไม่พอใจแค่ที่ 4 เพราะประกาศชัดว่าขอขึ้นเป็น ที่ 3 ในตลาดไทยให้เร็วที่สุด

ของดีราคาถูกมัดใจได้ทุกยุค

คามัล เหลียง ผู้จัดการทั่วไป ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เสียวหมี่ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า ที่เสียวหมี่สามารถเติบโตได้แม้ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ยากลำบากเพราะการระบาดของไวรัส COVID-19 เพราะ 4 ปัจจัย ได้แก่ 1.สินค้าที่ดี 2.ราคาที่เข้าถึงได้ 3.Mi Fan และ 4.การลงทุนใน R&D อย่างต่อเนื่อง โดยปีที่แล้วเสียวหมี่ลงทุนในการวิจัยกว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

“อย่าง Mi 10T Series ที่เป็นนวัตกรรมเปลี่ยนตลาด เพราะสเปกแฟลกชิปแต่ราคาหมื่นกลางเท่านั้น จนกลายเป็นมาตรฐานใหม่ให้กับตลาด ปัจจุบัน เรามีสมาร์ทโฟน 5G กว่า 10 รุ่นในตลาด และ 5G เป็นหนึ่งในสิ่งที่เราโฟกัสมาก”

สำหรับการเติบโตในประเทศไทยนั้นเกิดจาก 3 ปัจจัย ทั้งสินค้าคุณภาพดีในราคาที่จับต้องได้ การโฟกัสในช่องทาง ‘อีคอมเมิร์ซ’ ตั้งแต่ต้น และการทำตลาดอุปกรณ์ AIoT (AI+IoT) โดยในไทยมีการนำเข้าสินค้า AIoT กว่า 200 รายการ จากทั้งหมดกว่า 1,000 รายการ

คามัล เหลียง ผู้จัดการทั่วไป ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เสียวหมี่ อินเตอร์เนชั่นแนล

อัดงบการตลาดเท่าตัวสร้างการรับรู้

ในปีนี้ เสียวหมี่เตรียมอัดงบลงทุนด้านการตลาดเพิ่มอีกเท่าตัว เพื่อสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์มากขึ้นและเสริมแกร่งคอมมูนิตี้ Mi Fan พร้อมทั้งเตรียมขยาย Mi Shop ที่ปัจจุบันมีกว่า 30 แห่งเป็น 100 แห่ง และการจับมือพันธมิตรขยายจุดจำหน่ายสินค้าจาก 4,000 จุด เป็น 8,000 จุด นอกจากนี้จะลงทุนด้านบริการหลังการขายเพิ่มเติมด้วย โดยจะเพิ่มศูนย์บริการจาก 12 แห่งเป็น 25 แห่ง เตรียมลงทุนทำทีมคอลเซ็นเตอร์ภาษาไทย และทำบริการ ‘Door to Door Service’

“ตอนนี้เราเชื่อว่าทุกคนรู้จักเสียวหมี่ แต่อาจจะรู้จักจากอีโคซิสเต็มส์ของสินค้า AIoT มากกว่าสมาร์ทโฟน ดังนั้น เราก็จะลงทุนสร้างอแวร์เนสในสมาร์ทโฟนให้มากขึ้น แสดงให้เห็นถึงความยูนีคที่แตกต่างจากผู้เล่นอื่น ๆ โดยภาพของเราคือ เป็นแบรนด์ที่คูล และมีอีโคซิสเต็มส์จาก AIoT”

ภาพจาก www.mi.com

5G และ AIoT อาวุธมัดใจลูกค้า

5G เป็นสิ่งที่เสียวหมี่ให้ความสำคัญ โดยบริษัทมีแผนที่จะลงทุนด้าน R&D ใน 5G ถึง 5 หมื่นล้านหยวนภายใน 5 ปี สำหรับประเทศไทย เสียวหมี่มีแผนจะเปิดตัวสมาร์ทโฟน 5G ที่ครอบคลุมทุกเรนจ์ราคา รับประกันว่า ‘เซอร์ไพรส์’ แน่นอน นอกจากนี้ ในส่วนของ AIoT ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าชาวไทย ทางบริษัทก็เตรียมนำเข้าสินค้าใหม่ ๆ มาขายเดือนละ 1 รายการ จากปัจจุบันมีกว่า 200 รายการ

“ปีนี้เราเห็นสัญญาณบวกและเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ไม่ว่าอีคอมเมิร์ซที่เติบโตขึ้น การใช้ 5G ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ไทยมีการเปิดรับเทคโนโลยีที่เร็ว ดังนั้น 5G ก็จะเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนการเติบโต โดยเราก็ทำงานร่วมกับโอเปอเรเตอร์อย่างใกล้ชิดเพื่อออกสมาร์ทโฟน 5G ในราคาที่จับต้องได้ออกมา”

จากกลยุทธ์ดังกล่าว เสียวหมี่ตั้งเป้าจะก้าวขึ้นสู่ ‘เบอร์ 3’ ในตลาดสมาร์ทโฟนไทยให้ ‘เร็วที่สุด’