Hungry Hub สตาร์ทอัพไทย แพลตฟอร์มจองร้านอาหารพร้อมดีลพิเศษ ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2014 มีร้านอาหารที่เข้าร่วมทำโปรโมชั่นกว่า 500 ร้านอาหาร และมียอดผู้ใช้บริการมากกว่า 1,100,000 คน จัดงานประกาศรางวัล ‘Hungry Hub Award’ ปีที่ 1 รวบรวมรางวัลดาวเด่นร้านอาหารขายดี ประเภทต่างๆ มอบรางวัลให้กับร้านอาหารพันธมิตรกว่า 30 รางวัล พร้อมแชร์ประสบการณ์ด้านการทำธุรกิจอาหารจาก CEO และผู้ประกอบการ ทั้งเจ้าของร้านอาหาร Stand alone ไปจนถึง F&B โรงแรมชั้นนำ
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 Hungry Hub แพลตฟอร์มจองโต๊ะร้านอาหาร ได้จัดงาน Hungry Hub Award ครั้งที่ 1 ณ โรงแรม โอเรียนเต็ล เรสซิเดนซ์ กรุงเทพฯ รวบรวมรางวัลร้านอาหารขายดีและโดดเด่นในประเภทต่างๆ กว่า 30 รางวัล มอบให้กับร้านอาหารพันธมิตรที่ร่วมทำโปรโมชั่นกับ Hungry Hub มีทั้งร้าน Stand alone ร้านอาหารในห้างฯ ห้องอาหารโรงแรมชั้นนำ รวมถึงรูฟท็อป
คุณสุรสิทธิ์ สัจจะเดว์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Hungry Hub เผยสถิติ Benchmark ปี 2020 ว่า ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการจองโต๊ะแล้วกว่า 1,100,000 ที่นั่ง มีร้านอาหารเข้าร่วมกว่า 500 ร้านอาหาร พบว่าแพ็กเกจที่ขายดีที่สุดคือ All You Can Eat หรือเปลี่ยนร้าน A la carte เป็นบุฟเฟ่ต์ ซึ่งเป็นจุดเด่นของ Hungry Hub เลยก็ว่าได้ ยอดขายต่อหนึ่งการจอง เฉลี่ยสูงถึง 2,400 บาท ถ้าคิดเป็นต่อหัวจะอยู่ที่ 878 บาท และมี Top Customer หรือลูกค้าที่จองร้านอาหารผ่าน Hungry Hub จำนวนมากที่สุดในปี 2020 มากกว่า 70 ครั้งต่อปี ลูกค้ารายเดียวใช้จ่ายไปถึง 170,000 บาท นอกจากนี้ยังเผยสถิติ 2020 Performance Report ร้านอาหารที่ทำยอดขายได้สูงสุดจาก Hungry Hub ส่งรายได้ไปกว่า 35 ล้านบาท ได้แก่ร้าน Audrey Cafe (ออเดรย์คาเฟ่) โดยมีจำนวนลูกค้าที่จองโต๊ะผ่าน Hungry Hub เกือบ 50,000 หัว นับว่าเป็นตัวเลขที่สูงสำหรับวงการบุฟเฟ่ต์ อย่างไรก็ตาม Hungry Hub ก็มีแพ็กเกจอื่นๆ อย่าง Buffet Plus / Party Pack / Staycation / Hungry Lunch และ Hungry@Home ที่ตอบโจทย์ทั้ง Dine-in และ Delivery อีกด้วย
คุณสุรสิทธิ์ สัจจะเดว์ ได้เน้นย้ำพันธกิจของ Hungry Hub คือต้องการเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยเพิ่มรายได้ให้ร้านอาหารอย่างยั่งยืน ไม่เน้นการลดราคา ใช้กลยุทธ์ Up-selling พร้อมทำการตลาดให้ร้านอาหาร ซึ่ง Hungry Hub มีทั้ง Own Media / Paid Media เครือข่าย Blogger และโรงแรมชั้นนำ พร้อมมุ่งเน้นพัฒนา Product ที่หลากหลายที่เกี่ยวกับร้านอาหาร ไม่เพียงแต่เป็นแพลตฟอร์มจองร้านอาหารเพียงอย่างเดียว เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าให้ครอบคลุม ซึ่งในปี 2020 Hungry Hub ได้แตกไลน์แพ็กเกจที่หลากหลายมากขึ้น อาทิ เดลิเวอรี่ / ระบบจอง Free Reservation / Daycation Staycation / Bundle ร้านอาหารกับโรงแรม รวมถึงจัดงาน The Connection เปิดพื้นที่เชื่อมต่อผู้ประกอบการร้านอาหารได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างโอกาสในการทำงานร่วมกัน
สำหรับปี 2021 Hungry Hub ยังคงพัฒนาแพ็กเกจใหม่ๆ เพิ่มร้านอาหารพาร์ทเนอร์ เน้นเป็นแพลตฟอร์มร้านอาหารเพื่อโอกาสพิเศษ รวมถึงทำการตลาดใหม่ๆ และพัฒนาด้านเทคโนโลยี ทั้งระบบการจอง และ Royalty Program เพื่อกระตุ้นลูกค้าเดิมและขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังได้ทำการขยายตลาดไปยังหัวเมืองท่องเที่ยวหลัก อย่าง ภูเก็ตและพัทยาอีกด้วย
(รอวันงาน) คุณสิทธิฉันท์ วุฒิพรกุล หรือ คุณนพ เจ้าของร้านรสดีเด็ด เจ้าของรางวัล Meat Lover ร้านอาหารขายดีประเภทสเต็ก กล่าวถึงการเพิ่มมูลค่าให้วัตถุดิบอย่างเนื้อไทย ยกระดับเนื้อไทย ทำอย่างไรให้เนื้อไทยขายได้ เปลี่ยน Mindset ลูกค้า ที่คิดว่าแพงไม่น่าซื้อ ให้ยอมจ่าย การเลือกใช้เนื้อไทยยังไงให้คุณภาพสูสีเนื้อนำเข้า
(รอวันงาน) คุณ Manop Lobunditkul โรงแรมบันยันทรี กรุงเทพ ที่คว้าไปถึง 3 รางวัล ทั้งรางวัล Hotel for Foodies รูฟท็อปหมื่นล้าน และร้านอาหารสำหรับโอกาสพิเศษ ได้กล่าวถึงการ collaboration ระหว่าง Banyan Tree Bnagkok Hotel และ Copper Buffet กับแนวคิดที่นำร้านอาหารนอกโรงแรม มา Bundle กับการขายห้อง ซึ่งค่อนข้างเป็น product ที่ใหม่กับตลาด เพราะโดยทั่วไปจะเป็น product ที่กินและนอน ใช้ชีวิตอยู่ในโรงแรมอย่างเดียว และบันยันทรี ยังเป็นโรงแรมรายแรกๆ ที่ร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ ทำโปรโมชั่น Staycation กับ Hungry Hub ทำไมถึงคิดว่า Hungry Hub ที่เป็น Food Platform ถึงจะขายห้องได้
คุณเกษมสันต์ สัตยารักษ์ ผู้จัดการทั่วไป Copper Buffet ร้านบุฟเฟ่ต์นานาชาติชื่อดัง ยอดขายหลักร้อยล้านต่อปี ได้กล่าวถึงวิธีการทำการตลาดที่ร้านอาหารไม่ควรมองข้าม นั่นก็คือการสร้าง Relationship กับเหล่า Blogger และ Youtuber ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญในการขยายฐานลูกค้า เพิ่มยอดขายของร้านอาหารได้เป็นอย่างดี ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การตลาด Blogger ประสบความสำเร็จ คือจะต้องคำนึงถึงคุณภาพอาหาร บริการ และให้อิสระกับนักรีวิวมากที่สุด โดยมองว่าเป็นการตลาดแบบช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เป็นหนึ่งในงบการตลาดที่ควรลุงทุน ไม่ควรมองว่าสิ้นเปลือง
นอกจากนี้ คุณเกษมสันต์ สัตยารักษ์ ยังเสริมอีกว่า “Hungry Hub นอกจากจะเป็นช่องทางการจองโต๊ะแล้ว ยังมีเครือข่าย Blogger เพื่อทำการตลาดให้ร้านอาหารอีกด้วย ข้อดีของ Blogger ที่มาจาก Hungry Hub คือ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจ้าง Blogger ที่ปกติจ้างหลักหลายพัน ไปจนถึงหลักหมื่น จ่ายแค่ในส่วนของค่าอาหารเท่านั้นและ Hungry Hub ใช้วิธีการคัดเลือกบล็อกเกอร์ที่มีคุณภาพ ตรงกับฐานลูกค้า ซึ่ง Blogger ที่ส่งมาสามารถวัดผลได้ ว่ามีลูกค้าจองมาจากการรีวิวนั้นมากน้อยเท่าไหร่ ทำให้รู้ว่า Blogger แบบไหนเหมาะกับร้านเรา ผลคือได้ฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น ยอดขายมากขึ้น คนรู้จักมากขึ้น”
ภายในงานยังมีพาร์ทเนอร์จากร้านอาหารและโรงแรมชั้นนำ อาทิ ออเดรย์ คาเฟ่ บุญตงกี่ เนตะกริว โรงแรมโอเรียลเต็ล โรงแรมโซแบงค็อก โรงแรมในเครือแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย และอีกมากมาย ร่วมพูดคุยและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายของ Hungry Hub ที่ต้องการสร้างพื้นที่พบปะและสร้างโอกาสในการร่วมงานกันของวงการร้านอาหารอีกด้วย
ทางด้านเป้าหมายหลักของ Hungry Hub ยังคงเป็นการมุ่งเน้นที่จะเป็นผู้นำทางด้านแพลตฟอร์มเพิ่มรายได้ให้แก่ร้านอาหารได้อย่างยั่งยืน ด้วยวิธีทางการตลาดและประสบการณ์การทำเมนูอย่างเป็นมืออาชีพ นอกจากตลาดกรุงเทพฯที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังขยายสู่ตลาดภูเก็ต พัทยา และมีแผนในการขยายสู่หัวเมืองที่เป็นหัวเมืองท่องเที่ยงหลักของประเทศไทย รวมถึงต่างประเทศในอนาคตอีกด้วย