พบความหวังรักษา HIV หลังผู้ติดเชื้อในคองโกคุมปริมาณเชื้อได้โดยไม่ใช้ ‘ยาต้าน’

Photo : Shutterstock
การค้นพบในคองโกได้ให้ความหวังในการรักษาการติดเชื้อ HIV เพราะนักวิทยาศาสตร์เจอคนกลุ่มใหญ่ที่ร่างกายควบคุมเชื้อ HIV ได้ตามธรรมชาติโดยไม่ต้อง ‘ใช้ยาต้าน’ อาจนำไปสู่การรักษาในที่สุด

การศึกษาพบว่ามีผู้ติดเชื้อ HIV ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกประมาณ 4% สามารถยับยั้งไวรัสได้โดยไม่ต้องใช้ยา (Elite Controller :EC) ซึ่งปกติจะมีปริมาณน้อยกว่า 1% ของผู้ติดเชื้อที่สามารถทำได้ สิ่งนี้สามารถใช้เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาวัคซีน หรือวิธีการรักษาใหม่ ๆ เพื่อจัดการกับไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์

“สิ่งนี้ไม่เคยมีมาก่อน โดยทั่วไปแล้วเราจะพบน้อยกว่า 1% ของผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั้งหมดที่สามารถยับยั้งไวรัสได้ตามธรรมชาติ เมื่อเราเห็นข้อมูลจากการศึกษา มันทำให้เรารู้สึกประหลาดใจ และมีความสุข เพราะนี่อาจหมายความว่าเป็นสิ่งที่เราสามารถใช้รักษาได้จริง” ดร.แมรี ร็อดเจอร์ส นักวิทยาศาสตร์หัวหน้าโครงการ กล่าว

ดร.แมรี ร็อดเจอร์ส หัวหน้าโครงการเฝ้าระวังไวรัสทั่วโลกของ Abbott กล่าวว่า กลุ่มผู้ติดเชื้อในคองโกเป็นประเทศเดียวที่พบจำนวนผู้ที่มี EC มากที่สุด โดยอยู่ระหว่าง 2.7- 4.3% และในประเทศแคมมารูนยังมีอีก 1% ของผู้ติดเชื้อที่ร่างกายควบคุมไวรัสได้ดีโดยไม่ต้องใช้ยา

Photo by shutter stock

อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถบอกได้ว่า สิ่งที่ค้นพบในสาธารณรัฐคองโกนั้น สามารถระงับการติดเชื้อ HIV ได้อย่างไร โดยการทำความเข้าใจว่าคนกลุ่มนี้สามารถรักษาปริมาณไวรัสให้ต่ำ หรือตรวจไม่พบได้อย่างไร มีความสำคัญต่อการควบคุมไวรัส

เพราะปัจจุบันผู้ติดเชื้อ HIV ส่วนใหญ่ต้องรับประทานยาต้านไวรัสทุกวันเพื่อยับยั้งไวรัส และลดปริมาณไวรัส ทั้งนี้ การศึกษาก่อนหน้าได้แสดงให้เห็นว่าคนกลุ่มนี้อาจสูญเสียการป้องกันเมื่อโรค เมื่อพวกเขาติดเชื้อนานเกินไป

เชื้อ HIV ได้รับความสนใจไปทั่วโลกในช่วงทศวรรษที่ 1980 โดยเชื่อกันว่าเชื้อมีต้นกำเนิดมาจากประเทศสาธารณรัฐคองโกเมื่อราวหนึ่งศตวรรษที่แล้ว ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อ 76 ล้านคน และ 38 ล้านคนอาศัยอยู่กับไวรัส

สำหรับทีมงานที่ทำการศึกษาประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์จากบริษัทยาแอ็บบอตต์ มหาวิทยาลัยโปรเตสแตนต์คองโก มหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ สถาบันโรคภูมิแพ้ และโรคมีเชื้อแห่งชาติสหรัฐอเมริกา และมหาวิทยาลัยมิสซูรี-แคนซัสซิตี โดยผลการวิจัยได้ตีพิมพ์ใน eBioMedicine เป็นส่วนหนึ่งของวารสารทางการแพทย์ของ The Lancet ที่ได้ดูเก็บตัวอย่างจากผู้ที่ติดเชื้อ HIV ระหว่างปี 1987 ถึง 2019

Source