เคอี กรุ๊ป ปักธงแผนบริหารธุรกิจ ขยายนโยบาย ESG ใส่ใจสิ่งแวดล้อม คืนกำไรสู่สังคม ปกครองอย่างเป็นธรรม

ธุรกิจจะขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมั่นคงแม้ฝ่าลมฝนได้นั้น ย่อมมีธงที่ปักเป้าหมายไว้อย่างชัดเจน รวมทั้งทุกหน่วยงานในธุรกิจรวมพลังกันและกัน พร้อมทั้งผลิตสิ่งที่ดีคืนกำไรสู่สังคม โดย เคอี กรุ๊ป กลุ่มบริษัทชั้นนำของประเทศไทยที่เน้นการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ การพัฒนา และบริหารงานสินทรัพย์ทั้งด้านรีเทล สำนักงาน ฯลฯ รวมถึงการบริหารกองทรัสต์ ALLY (อัลไล) ประกาศปักธงแผนบริหารธุรกิจในปี 2564 ดำเนินธุรกิจตามนโยบาย ESG (Environmental Social Governance) หลังทดลองติดตั้งหลังคาด้วย ‘โซลาร์ รูฟท็อป’ (Solar Rooftop) ทุกโครงการในเครือบริหาร ปรากฏลดต้นทุนพลังงานไปมากกว่า 15%

นางศุภานวิต เอี่ยมสกุลรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะ เคอี กรุ๊ป จำกัด ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนกองทรัสต์ ALLY กล่าวว่า “บริษัทฯ ริเริ่มแนวคิดการบริหารธุรกิจตามนโยบาย ESG หรือ Environmental Social Governance ประกอบด้วย การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม การใส่ใจสังคม และเรื่องของการกำกับดูแลที่ดี หรือบรรษัทภิบาล มาหลายปีแล้ว ซึ่งเป็นแนวคิดให้ทุกฝ่ายในสังคม ตั้งแต่ชุมชน บริษัท และผู้ถือหน่วยหรือผู้ถือหุ้น ได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้นในมิติต่างๆ โดยธงด้าน ESG นั้น ได้ขยายผลต่อการสร้างโครงการต่างๆ ของบริษัทฯ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม เริ่มที่ E-Environmental ทุกโครงการของคอมมูนิตี้มอลล์ ในกองทรัสต์ “อัลไล รีท” จะติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา “โซลาร์ รูฟท็อป” (Solar Rooftop) เพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เน้นการประหยัดพลังงานไฟฟ้า รักษาสภาพแวดล้อม และสามารถลดต้นทุนค่ากระแสไฟฟ้าได้อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลต่อต้นทุนเรื่องของพลังงานที่ลดไปมากกว่า 15% ของต้นทุนด้านพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด รวมทั้งด้านสิ่งแวดล้อมภายในศูนย์การค้า เน้นเรื่อง Green DNA ที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ประดับตกแต่งด้วยไม้เถาต่างๆ และเลือกใช้ปุ๋ยธรรมชาติ เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสสารเคมี รวมถึงสร้างความร่มรื่น ช่วยลดอุณหภูมิความร้อน ลดการใช้พลังงาน และสร้างทัศนียภาพเพิ่มบรรยากาศที่ดีให้กับลูกค้าผู้มาใช้บริการ ขณะเดียวกันยังส่งเสริมเรื่องพลังงานทางเลือก เช่น รถยนต์ไฟฟ้าในคอมมูนิตี้ในกองทรัสต์ ALLY อาทิ โครงการซีดีซี, เดอะ คริสตัล หรือสัมมากร โดยติดตั้ง EV Charging Station ตาม Parking ต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า สามารถเข้ามาชาร์จกระแสไฟฟ้าได้ที่สเตชั่นดังกล่าวระหว่างมาเดินช้อปปิ้งในศูนย์ฯ ซึ่งช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งสร้างรายได้เพิ่มขึ้น

ด้าน S-Social บริษัทฯ มีนโยบายทำ Knowledge Community Development พัฒนาและสร้างกลุ่มสังคมแห่งการแลกเปลี่ยนความรู้ ทั้งเรื่องของการจัด Town hall การเชิญ Guest Speaker มาพูดคุยประสบการณ์ดีๆ เพื่อให้แง่คิด ทีมงานทุกคนจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพิ่มขึ้น รวมถึงมีการสร้าง Connection community ใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นจากบุคคลภายนอก และจากสถานการณ์โควิด-19 บริษัทฯ ยังคงตระหนักถึงความปลอดภัย และความสะอาดเป็นสำคัญในการดูแลคอมมูนิมอลล์, ศูนย์การค้าฯ หรือทรัพย์สินที่เราดำเนินการ เน้นในความสำคัญทั้งเรื่องแผนการทำความสะอาด การวางแผนกำลังคน จุดตรวจวัดอุณหภูมิ รวมถึงการฆ่าเชื้อต่างๆ ในกรณีถ้าพบว่ามีผู้ป่วยเข้ามาใช้บริการ รวมไปถึงเรื่องของ BCP (Business Continuity Planning) ซึ่งเป็นแผนไว้รองรับในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินต่างๆ นอกจากนี้ ในส่วน CSR ทุกคนในเครือบริษัท ยังได้ร่วมแรงร่วมใจกันทำประโยชน์ต่อสังคม เช่น การบริจาคเลือด เพราะช่วงโควิด-19 แพร่ระบาด ยอดบริจาคเลือดลดลงอย่างเห็นได้ชัด บริษัทได้จัดสถานที่ตั้งโต๊ะอำนวยความสะดวกในการรับบริจาคเลือดในพื้นที่ของศูนย์ฯ โดยมีพนักงาน ผู้เช่า หรือบุคคลภายนอกที่เข้ามาในศูนย์ฯ สามารถมาร่วมบริจาคได้ นับเป็นการสร้างคอมมูนิตี้ในรูปแบบหนึ่งเช่นกัน

แนวคิดสุดท้าย G-Governance ถือเป็นสิ่งแรกในการเริ่มต้นทำธุรกิจ โดยบริษัทฯ ปกครองดูแลธุรกิจด้วยจรรยาบรรณวิชาชีพ หลายคนอาจคุ้นเคยคำว่า Code of Conduct หรือ Corporate Governance ทั้งนี้การดำเนินธุรกิจนั้น ย่อมทำให้เกิดความท้าทายและความเสี่ยงใหม่ๆเข้ามาในกระบวนการทางธุรกิจ แต่ด้วยการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดี จะทำอย่างไรให้ความเสี่ยงลดน้อยลงอยู่ในระดับที่รับได้ ฉะนั้นต้องมีระบบ Risk Management สำหรับการบริหารความเสี่ยง ปัจจุบันบริษัทในเครือและบริษัทที่บริหารกองรีทนี้ ได้นำแผนแม่บทที่เป็นมาตรฐานระดับสากลมาเป็นกรอบแนวทางในการบริหารความเสี่ยง และตรวจสอบภายในของ The Committee of Sponsoring Organization หรือ COSO  ซึ่งค่อนข้างตอบสนองในเรื่องของความเสี่ยง และการเปลี่ยนแปลงไปตามสถาณการณ์ต่างๆ ณ ปัจจุบันได้ใกล้เคียงที่สุด

ปัจจุบัน กองรีท ALLY สามารลงทุนได้ตั้งแต่ศูนย์การค้า และสินทรัพย์ประเภทอื่น อาทิ ออฟฟิศ (Office) หรือโกดังสินค้า (Warehouse) ฉะนั้นเรื่องของการตรวจสอบภายในนับเป็นสิ่งสำคัญ จึงมีเรื่องของ IA Process (Internal Auditing Process) เกิดขึ้น ดำเนินการโดยทีมงานและผู้บริหารที่ช่วยในด้านการกำกับดูแลกิจการของทั้งเครือบริษัท มีข้อดีในเรื่องของความโปร่งใสในการบริหารงาน โดยใช้หลัก IPPF (International Professional Practice Framework) ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติการตรวจสอบภายในที่เป็นสากล ที่เรานำมาใช้ ใส่ใจการกำกับดูแลเพิ่มขึ้น และมีความพร้อมในการขยายการลงทุนโครงการออกไปในสินทรัพย์หลากหลายประเภทอย่างต่อเนื่อง

และสิ่งที่สำคัญมาก บริษัท เค.อี.รีท แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นตัวแทนของเครือบริษัท ในการนำร่องริเริ่มยื่นความจำนงค์ต่อกลุ่ม CAC (Collective Action Coalition Against Corruption) หรือโครงการแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต ในเรื่องของ Anti-Corruption ในการเป็นองค์กรที่ปราศจากเรื่องการคอร์รัปชั่น เพื่อสร้างความโปร่งใสและอุ่นใจให้แก่คู่ค้าและตัวเราเองด้วยเช่นกัน

ศุภานวิต กล่าวทิ้งท้ายว่า “ทั้งหมดนี้เป็นจุดเริ่มต้นของ ESG ที่เคอี กรุ๊ป ได้ดำเนินการมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อสร้างความยั่งยืน โปร่งใส เป็นธรรม ตอบสนองต่อทุกภาคส่วน ทั้งสังคม ชุมชน ผู้ใช้บริการ พนักงาน คู่ค้า และนักลงทุน บริษัทให้ความสำคัญอย่างจริงจังและมุ่งมั่นสร้างสรรค์ด้วยความตั้งใจ ไม่ได้เป็นเพียงคอนเทนต์ตามกระแสเทรนด์โลกธุรกิจยุคใหม่ แต่เป็นเรื่องของความยั่งยืนระยะยาว และจะมุ่งมั่นรักษามาตรฐานให้กลายเป็น DNA ของบริษัทอย่างมั่นคงสืบไปในอนาคต”