โดย: เควิน เฉิง ประธานกลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด
โลกกำลังรอคอยสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2564 ด้วยความหวังและความระมัดระวัง แต่แน่นอนว่าสิ่งที่ทุกคนปรารถนาคงจะหนีไม่พ้นการได้รับวัคซีน ซึ่งจะช่วยให้เรากลับไป “ใช้ชีวิตได้ดังเดิม” และพลิกฟื้นคืนชีวิตให้แก่ทุกคนและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 แต่คงจะต้องใช้เวลานาน กว่าที่ทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ การเกิดโรคระบาดในครั้งนี้ก็ทำให้โลกเราได้เข้าใจถึงบทบาทของเทคโนโลยีดิจิทัลได้ถ่องแท้มากขึ้น เพราะเราต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเหล่านี้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน
คนจำนวนมากเริ่มเรียนรู้ที่จะทำงานนอกสำนักงานและหันมาใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการทำกิจกรรมประจำวันภายใต้วิถีชีวิตแบบใหม่หรือนิวนอร์มอล นวัตกรรมดิจิทัล อาทิ 5G, ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และคลาวด์ ได้ปรับเปลี่ยนชีวิตของเราในหลาย ๆ ด้านอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อนเมื่อ 5 ปีที่แล้ว และก็ปฏิเสธไม่ได้ด้วยว่าธุรกิจและสถาบันต่าง ๆ อาจไม่สามารถไปต่อได้หากไม่มีเทคโนโลยีเหล่านี้
หัวเว่ย: พันธมิตรสำหรับการทรานสฟอร์มสู่ดิจิทัล
ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอย่างรวดเร็วและการปรับใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่อนาคต อุตสาหกรรมต่างก็พัฒนาอย่างรวดเร็วด้วยการปรับใช้นวัตกรรมอันจะนำไปสู่การพลิกโฉมครั้งสำคัญ เพราะการเข้าถึงหรือการประมวลผลข้อมูลนั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เป็นเวลากว่า 20 ปีที่หัวเว่ยได้เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย และช่วยวางรากฐานของประเทศเพื่อให้ไทยได้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลของภูมิภาคโดยได้มีการลงทุนระยะยาวอย่างต่อเนื่อง และช่วยให้อุตสาหกรรมพัฒนาเติบโตขึ้น
ในปี 2559 หัวเว่ยยังได้เปิดสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคขึ้นในประเทศไทย ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา บริษัทประสบความสำเร็จในการจัดตั้งศูนย์บ่มเพาะและศูนย์การเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ หลายแห่ง อาทิ ศูนย์ฝึกอบรมของหัวเว่ย (Huawei Training Center) หัวเว่ย โอเพ่น แล็บ (Huawei Open Lab) และหัวเว่ย อาเซียน อะแคเดมี่ (Huawei ASEAN Academy)
หัวเว่ย เป็นผู้จัดหาอุปกรณ์โทรคมนาคมไอซีทีและสมาร์ทดีไวซ์ชั้นนำในประเทศไทย ดำเนินธุรกิจ 4 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มโทรคมนาคม กลุ่มเอ็นเตอร์ไพรส์ กลุ่มคลาวด์ และกลุ่มคอนซูมเมอร์ สำหรับกลุ่มเอ็นเตอร์ไพรส์ ได้มุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพธุรกิจและองค์กรด้วยโซลูชันด้านไอซีที ด้วยการทำงานร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน อาทิ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สำหรับการอัปเกรดเครือข่ายการจ่ายกระแสไฟฟ้าและพัฒนาระบบการสื่อสาร ณ อาคารสำนักงานใหญ่ ให้ทันสมัยมากขึ้น รวมถึง บริษัท ยูไนเต็ด อินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ จำกัด (UIH) เพื่อจัดหาโซลูชันเครือข่ายที่ยืดหยุ่น หัวเว่ยยังได้ส่งเสริมภาคการศึกษาด้วยการช่วยยกระดับเครือข่ายของมหาวิทยาลัยชั้นนำต่าง ๆ อาทิ ติดตั้งโซลูชัน Cloud Campus Network ให้กับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และยกระดับประสิทธิภาพการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระหว่างคณะต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) และเพิ่มประสิทธิภาพระบบโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายของมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (มธบ.) ด้วยโซลูชัน Agile Controller-Campus ทำให้สามารถใช้งานแอปพลิเคชันใหม่ ๆ ของมหาวิทยาลัยได้ดีขึ้น อาทิ การเรียนออนไลน์ และห้องเรียนแบบอินเตอร์แอ็กทีฟ
ในปีที่ผ่านมา หัวเว่ยได้จัดงาน Huawei CLOUD & CONNECT: Powering Digital Thailand 2021 ซึ่งเป็นหนึ่งในงานประชุมที่ใหญ่ที่สุดของหัวเว่ย ที่จัดขึ้นนอกประเทศจีน เพื่อจัดแสดงเทคโนโลยีใหม่ ๆ อาทิ คลาวด์, 5G และ AI ส่งเสริมให้องค์กรต่าง ๆ ทรานสฟอร์มสู่ดิจิทัล รวมถึงแสดงให้เห็นว่าหัวเว่ยเล็งเห็นคุณค่าในการลงทุนและการเติบโตอย่างยั่งยืนในประเทศไทย
ปูรากฐานด้านดิจิทัลให้ประเทศไทย
ที่หัวเว่ย เราตระหนักดีว่า กุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ระบบนิเวศด้านดิจิทัลที่แข็งแกร่ง คือแรงงานที่มีทักษะ ในฐานะที่เป็นผู้จัดหาโซลูชันด้านไอซีทีชั้นนำระดับโลก หัวเว่ยมุ่งมั่นที่จะเติมเต็มความต้องการแรงงานด้านไอซีที จึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดเราจึงได้ประกาศแผนระยะยาวในการพัฒนาอีโคซิสเต็มด้านแรงงาน เพื่อช่วยเหลือประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทย ที่กำลังต้องการแรงงานที่มีทักษะดิจิทัลในระดับสูงเป็นจำนวนมาก เราใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมาหลายทศวรรษ เรารับมือกับความท้าทายด้านแรงงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกผ่าน 3 โปรแกรมด้วยกัน ได้แก่ โครงการประกาศนียบัตรมาตรฐานวิชาชีพด้านไอซีที, หัวเว่ย ไอซีที อะแคเดมี่ และการจัดการแข่งขัน Huawei ICT Competition
ยิ่งไปกว่านั้น หัวเว่ยยังได้จัดตั้ง “หัวเว่ย อาเซียน อะแคเดมี่” ขึ้นมา มุ่งทำงานร่วมกับองค์กร รวมถึงสถาบันการศึกษาด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรมในประเทศไทย เพื่อผลิตบุคลากรด้านเทคโนโลยีหรือดิจิทัลให้ได้ถึง 100,000 คนภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า
พันธมิตรที่วางใจได้ในห้วงเวลาสำคัญ
หัวเว่ยทำงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลไทยมาโดยตลอด เพื่อริเริ่มและประสานงานโครงการต่าง ๆ มากมาย รวมไปถึงช่วงเวลาที่มีความสำคัญ ๆ อย่างวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอันทันสมัย อาทิ 5G, AI และคลาวด์ เพื่อนำพาองค์กรและผู้คน ที่ได้รับผลกระทบในการทำงานหรือการดำเนินกิจการในช่วงโควิด-19
เดินหน้าสานต่อพันธกิจ Grow in Thailand, Contribute to Thailand
ทุก ๆ ปี เราใช้เงินลงทุนร้อยละ 14 ของรายได้ เพื่อค้นหาโอกาสทางธุรกิจและรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ของโลกอัจฉริยะที่จะมาถึง นวัตกรรมคือโครงสร้างพื้นฐานหลักสำหรับการเติบโตของหัวเว่ย นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท และเราจะยังพยายามให้มากเท่าทวีคงคูณเพื่อมองหาเทคโนโลยีและการวิจัยพื้นฐานสำหรับอนาคตข้างหน้า
นอกเหนือจากการลงทุนอย่างต่อเนื่องในโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีที การพัฒนาและปรับใช้เทคโนโลยีนวัตกรรม และการบ่มเพาะทักษะของบุคลากรให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมแล้ว หัวเว่ยยังขยายการเป็นพันธมิตรกับอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์แบบในประเทศไทย เราจะเดินเคียงข้างประเทศไทยในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลให้เติบโต และช่วยสร้างโลกอัจฉริยะที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างเต็มรูปแบบให้กับคนไทย เรามั่นใจในศักยภาพของประเทศไทยที่จะพัฒนาไปสู่การเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลแห่งแรกประจำภูมิภาคอาเซียน โดยเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยจะมีสัดส่วนถึงร้อยละ 30 ของ GDP ประเทศในราวปี 2573
ด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่ในการพัฒนาประเทศผ่านพันธกิจ “Grow in Thailand, Contribute to Thailand” ของเรา หัวเว่ยพร้อมสำหรับการริเริ่มโครงการอีกมากมายที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสู่ทุกคน ทุกบ้าน และทุกองค์กร