เพิ่งจะผ่านไตรมาสแรกของปีเพียงแค่ 1 เดือน แต่ตลาดคริปโทก็บูมสุดขีด ล่าสุดมูลค่าตลาดรวมขึ้นไปแตะกว่า 2 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ (2.243 trillion) โดยมูลค่าของบิทคอยน์เคยพุ่งขึ้นไปมากกว่า 100% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้งและกรรมการสตางค์ คอร์ปอเรชั่น ให้ความเห็นว่า “ถึงแม้ว่าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาบิทคอยน์จะทำให้นักลงทุนมือใหม่ใจหายใจคว่ำกับราคาที่ลงไปจนถึง 47,159.49 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ แต่มองได้ว่าเป็นการปรับฐานที่ดีครั้งหนึ่ง และในสัปดาห์นี้ตลาดก็กลับไปอยู่ในแดนบวกอีกครั้ง มีหลากหลายปัจจัยที่ส่งให้ตลาดคริปโทยังคงอยู่ในภาวะตลาดที่น่าสนใจ”
“ปีนี้ระบบนิเวศหรือ ecosystem ของอุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซี่มีการเปลี่ยนแปลงและสมบูรณ์มากขึ้น จากที่เคยถูกมองว่าเป็นตลาดเก็งกำไร ก็เปลี่ยนไปเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนมากขึ้น มีการยอมรับทางกฎหมายมากขึ้น มีความเคลื่อนไหวมากมายของคริปโทที่สัมพันธ์กับตลาดทุน ตั้งแต่การเข้าลิสต์ในตลาดหลักทรัพย์ของ Coinbase แพลทฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลกซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 85,800 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ณ ราคาต่อหุ้น Coinbase ที่ 328.8 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ และการทำ Stock Token คือการนำหุ้นมาแปลงเป็นคริปโทเคอร์เรนซี่ให้คนสามารถซื้อหุ้นผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชนได้ ซึ่งก็สามารถทำเป็น “Dual Listing” ทำให้คนซื้อขายหุ้นได้จาก 2 ตลาด ใน 2 ประเทศโดยใช้บล็อกเชน นั่นจะทำให้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสิ่งที่แยกไม่ออกจากหุ้นที่คนซื้อขายกันในปัจจุบัน” ปรมินทร์ กล่าว
ล่าสุด Binance แพลทฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลอันดับ 1 ของโลก ได้ประกาศลิสต์ Stock Token ของ Microstrategy (MSTR), Apple (AAPL) และ Microsoft (MSFT) ภายในสัปดาห์นี้ หลังจากได้ลิสต์ โทเคนของ Tesla and Coinbase (COIN) ไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
นอกจากนี้การปรับปรุงและเสนอร่างกฎระเบียบข้อบังคับ (Regulations) ที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกเพื่อให้ตอบโจทย์การเติบโตไปในทิศทางที่ถูกต้อง รองรับกับตลาดการเงินและลงทุนที่กำลังเดินหน้าเข้าสู่การเป็นเงินดิจิทัล และทำให้คริปโทเคอร์เรนซี่เป็นที่ยอมรับตามกฎหมาย ซึ่งจะเป็นผลดีต่อทั้งนักลงทุนและ ecosystem ของคริปโท
ปรมินทร์ เสริมว่า “แน่นอนว่าการได้รับการยอมรับจากสถาบันการเงิน กองทุน บริษัทเทคโนโลยีระดับโลก และเหล่าเซเลบทั้งในแวดวงธุรกิจ การเงิน วงการบันเทิง ล้วนมีผลทำให้สภาพแวดล้อมของตลาดเป็นบวก ล่าสุดข้อมูลจาก Coindesk อ้างแหล่งข่าววงในว่า JP Morgan ธนาคารอันดับ 1 ของโลก กำลังเตรียมจัดตั้งกองทุนบิทคอยน์อย่างเป็นทางการ เพื่อรองรับลูกค้าที่มีความต้องการซื้ออย่างมหาศาลในอนาคต โดยแหล่งข่าวรายงานว่า JP Morgan พร้อมจะทำ custody service เพื่อรองรับการเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต อีกทั้งจะเป็นแพลตฟอร์ม NYDIG ซึ่งหาก JP Morgan ทำสำเร็จ จะกลายเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาที่เริ่มทำงานกับบิทคอยน์ ในฐานะสินทรัพย์อย่างเป็นทางการ ข่าวนี้ถึงแม้ยังไม่ได้รับการยืนยัน แต่เป็นไปได้อย่างมากเพราะ ความต้องการของลูกค้าต่าง ๆ ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจบิทคอยน์ จากการที่ราคาพุ่งประมาณ 20 เท่า จาก 38,000 ดอลลาร์ ไปจนเกิน 64,000 ดอลลาร์ ในเดือนเมษายนปี 2021นี้”
หลากหลายธุรกิจต่างก็ออกมายอมรับการชำระเงินด้วยคริปโทเคอร์เรนซี่ เช่น TIME Magazine นิตยสารระดับโลกประกาศว่าจะรับบิทคอยน์ และคริปโทเคอร์เรนซี่ ให้ลูกค้าสามารถนำเหรียญคริปโท มาจ่ายเป็นค่าสมัครสมาชิกรายเดือนได้ WeWork ผู้ให้บริการพื้นที่เช่าชั้นนำได้ร่วมมือกับ BitPay และ Coinbase ประกาศว่าจะเริ่มให้บริการกับลูกค้ายุคเศรษฐกิจ New Normal ด้วยการรับชำระเงินในสกุลเงินดิจิทัลที่เลือก แม้กระทั่งธุรกิจในประเทศไทยอย่างนันยางก็ประกาศยอมรับการซื้อรองเท้าด้วยบิทคอยน์
PayPal และ Visa ต่างก็ประกาศรับบิทคอยน์ รวมถึงคริปโทเคอร์เรนซี่อื่น ๆ และให้คนซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ นอกจากนี้ PayPal ยังจับมือกับ Venmo ประกาศเปิดตัว คริปโทเคอร์เรนซี่ บน Venmo ซึ่งเป็นวิธีใหม่สำหรับลูกค้ามากกว่า 70 ล้านราย ในการซื้อ ถือครองและขายคริปโท โดยจะเริ่มจากเหรียญ 4 เหรียญได้แก่ Bitcoin Ethereum Litecoin และ Bitcoin Cash ส่วน Mastercard ก็จับมือกับ Wirex และ BitPay ออก Crypto Card
“ไม่ว่าความคิดเห็นเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซี่ที่ผ่านมาจะเป็นอย่างไร ความจริงก็ยังคงอยู่ที่ว่าสินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านี้กำลังกลายเป็นส่วนสำคัญของโลกการเงินและการลงทุนยุคใหม่ คริปโทเคอร์เรนซี่จะยังมี performance ที่ดี จากการที่ ecosystem ต่าง ๆ สมบูรณ์ขึ้น รวมทั้งเงินดอลลาร์สหรัฐยังมีแนวโน้มอ่อนค่าอยู่ จากการอัดฉีดเงินเข้ามาในระบบอีกมากเพื่อพยุงเศรษฐกิจ ซึ่งจะยังส่งผลให้คนนำเงินมากระจายการลงทุนในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น”
“สำหรับนักลงทุนรายใหม่นั้น แนะนำให้เล่นตามความเสี่ยงที่ตนเองรับ ได้ควรดูทิศทางตลาด และอย่าตื่นตระหนกกับสถานการณ์ต่าง ๆ จนทำให้เกิด Panic Sell เพราะความตื่นตระหนกจะทำให้เราตัดสินใจอะไรที่ผิดพลาดได้ ควรเลือกลงทุน กับบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลเท่านั้น และควรเลือกลงทุนกับบริษัทที่ได้รับมาตรฐาน ISO 27001 และ ISO 27701 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลสำหรับระบบการจัดการความปลอดภัยของข้อมูลทั้งในรูปแบบดิจิทัลและเป็นเอกสาร ซึ่งจะช่วยป้องกันข้อมูลรั่วไหลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น Satang Pro” ปรมินทร์ สรุป
เกี่ยวกับ สตางค์ คอร์ปอเรชั่น
เป็นผู้นำด้านการให้บริการธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงการใช้งานสกุลเงินดิจิทัล ในชีวิตประจำวันทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากบริษัทฯ มีเครือข่ายด้านระบบความปลอดภัย (Security System) และนวัตกรรมทางการเงิน (Financial Innovation) อยู่ทั่วโลก จึงเป็นเรื่องง่ายที่ สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จะสามารถดึงทรัพยากร ไม่ว่าจะเป็น Knowledge, Know-how, Talent และ เทคโนโลยีใหม่ๆ จากพันธมิตรต่าง ๆ ที่อยู่ทั่วโลกเข้ามาให้คนไทยได้ใช้งาน เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สะดวกขึ้น และปลอดภัยขึ้นในทุกมิติของการเงินในชีวิต โดยเฉพาะการลงทุนและที่สำคัญที่สุด สตางค์ คอร์ปอเรชั่น อยู่ภายใต้การกำกับดูแล ของก.ล.ต. จึงมั่นใจได้ในความโปร่งใส และปลอดภัยในธุรกรรมต่างๆ
นอกจากนี้ สตางค์ คอร์ปอเรชั่น ยังเป็นผู้ให้บริการธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลรายแรกและรายเดียวในประเทศไทย ที่ได้รับ มาตรฐาน ISO 27001 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลสำหรับระบบการจัดการความปลอดภัยของข้อมูลทั้งในรูปแบบดิจิทัลและเป็นเอกสาร (Information Security Management Systems : ISMS) และ มาตรฐาน ISO/IEC 27701: 2019 ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายจาก ISO/IEC 27001 สำหรับเป็นแนวทางให้องค์กรบริหารจัดการข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างมั่นคงปลอดภัย นำไปประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ได้