WHO ยืนยันไม่สามารถ ‘บังคับจีน’ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับต้นกำเนิดของโควิดได้

(Photo by Getty Images)
เจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่า ไม่สามารถบังคับให้จีนเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับต้นกำเนิดของ COVID-19 ซึ่งทำให้เกิดการอภิปรายถึง ‘ความโปร่งใส’ ของจีน

ที่ผ่านมา มีหลายทฤษฎีถึงการกำเนิดไวรัส COVID-19 ว่ามาจากสัตว์ซึ่งอาจเริ่มจากค้างคาว สู่มนุษย์ หรือว่ามาจากห้องปฏิบัติการในหวู่ฮั่น ประเทศจีน ทฤษฎีการรั่วไหลของห้องปฏิบัติการหวู่ฮั่นเพิ่งกลายเป็นหัวข้อของการอภิปรายสาธารณะ หลังจากนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงหลายคนเรียกร้องให้มีการสอบสวนอย่างเต็มรูปแบบเกี่ยวกับต้นกำเนิดของไวรัส

ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา สมาชิกของทีม WHO ที่ไปเยือนจีนเมื่อต้นปีนี้เพื่อตามหาต้นกำเนิดของไวรัส COVID-19 ได้ออกมาเปิดเผยว่าพวกเขา ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดได้ ทำให้เกิดการอภิปรายอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับความโปร่งใสของประเทศจีน โดย Mike Ryan ผู้อำนวยการโครงการฉุกเฉินของหน่วยงานกล่าวในการแถลงข่าวว่า WHO ไม่มีอำนาจที่จะบังคับใครในเรื่องนี้”

“เราคาดหวังอย่างเต็มที่ว่าจะได้รับความร่วมมือในการเปิดเผยข้อมูล และการสนับสนุนจากทุกประเทศสมาชิกของเราสำหรับความพยายามในการหาต้นตอของไวรัส COVID-19”

ที่ผ่านมา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และผู้สนับสนุนของเขาได้ขยายทฤษฎีสมคบคิดอย่างต่อเนื่องว่าจีนจงใจปล่อยไวรัสให้รั่วไหล ขณะที่ไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ในขณะนั้น ได้ยืนกรานเมื่อปีที่แล้วว่ามี “หลักฐานสำคัญ” ที่ไวรัสมาจากห้องแล็บ แต่ก็ไม่แสดงหลักฐานใด ๆ และยอมรับว่าข้อมูลไม่มีความแน่นอน ขณะที่จีนเองก็ปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนการหาต้นตอการระบาดอาจไม่สำคัญเท่ากับปริมาณวัคซีนที่ไม่เพียงพอ โดยหัวหน้าองค์การอนามัยโลกกล่าวว่า 6 เดือนนับตั้งแต่มีการฉีดวัคซีนครั้งแรก ประเทศที่มีรายได้สูงได้ปริมาณยาเกือบ 44% ของจำนวนวัคซีนทั้งหมดของโลก ขณะที่ประเทศรายได้ต่ำได้รับวัคซีนเพียง 0.4% และสิ่งที่น่าผิดหวังที่สุดเกี่ยวกับสถิตินี้คือไม่มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาหลายเดือนนี้

มีการเรียกร้องให้มีความพยายามอย่างมากในการฉีดวัคซีนให้กับประชากรอย่างน้อย 10% ของทุกประเทศภายในเดือนกันยายน และอย่างน้อย 30% ภายในสิ้นปี ซึ่งจะต้องใช้เพิ่มอีก 250 ล้านโดสภายในเดือนกันยายน ซึ่งที่ผ่านมา มีการส่งมอบวัคซีนภายใต้โครงการ COVAX ไปแล้วมากกว่า 80 ล้านโดสไปยัง 129 ประเทศ ซึ่งน้อยกว่าที่เคยคาดว่าจะมีประมาณ 200 ล้านโดส

Source