แสนสิริ อาร์มานี่ ไล่จับกวางโนเบิล

นับเป็นความพยายามครั้งสำคัญสำหรับบริษัทพัฒนาที่ดินรายใหญ่ของบ้านเราอย่างแสนสิริ ที่ต้องหาจุดขายที่แตกต่าง เพื่อดึงลูกค้าจากคู่แข่งร่วมธุรกิจ และสิ่งที่แสนสิริกำลังทำคือ การขายคอนโดมิเนียมแบบรสนิยม เพิ่อตอกย้ำการเป็น Lifestyle Brand ให้เด่นชัดขึ้น

แสนสิริวางแผนสร้างโปรเจกต์ร่วมกับแบรนด์เนม แฟชั่นระดับหรู ในรูปแบบของการ Collaboration เชิงลึก เพื่อสร้างจุดขายที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม รวมถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ระดับโลก ดึงดูดลูกค้าตลาดบนที่พิถีพิถันในการใช้ชีวิต ที่ต้องการคำตอบจากพนักงานเพียงแค่ว่า ยูนิตนี้หรูที่สุดและแพงที่สุดในโครงการ

ในเร็วๆ นี้แสนสิริอาจจะมีการร่วมมือกับจิออร์จิโอ อาร์มานี่เป็นแบรนด์แรก เนื่องจากปัจจุบันก็ได้ใช้ ARMANI/CASA เพื่อตกแต่งล็อบบี้โครงการPrive อยู่แล้ว การทำ Brand Collaboration ครั้งนี้ก็เพื่อทำให้คอนโดมิเนียมระดับบนของแสนสิริมี Value Added แตกต่างจากคู่แข่ง แสดงให้เห็นถึงความ Sophisticate เช่นเดียวกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าระดับครีมแล้ว ยังสมกับราคาที่แพงระยับถึงตารางเมตรละ 250,000-300,000 บาท

โครงการที่คาดว่าแสนสิริจะใช้แบรนด์ระดับโลกมาช่วยดึงลูกค้าก็คือ ที่ดินแปลงใหญ่ 800 ตารางวาด้านหลังธนาคารกรุงศรีอยุธยา ของตระกูลสุทัศน์ ณ อยุธยา (เจ้าของสยามสตูดิโอ) ขายให้แสนสิริในราคาตารางวาละ 1.5 ล้านบาท แน่นอนว่าราคาขายเมื่อทำโครงการคอนโดมิเนียมแล้ว หนึ่งตารางเมตรต้องไม่น้อยกว่า 3 แสนบาท

แรงกกดันที่ทำให้แสนสิริต้องหากลยุทธ์มาดึงลูกค้าตลาดบนเพราะว่าฝั่งตรงข้ามที่ดินของเพลินจิต อาเขตเดิม ข้างตึกเวฟ เพลส เพลินจิต กลุ่มโนเบิลซื้อไปในราคาตารางวาละ 1.5 ล้านบาทเช่นกัน

2 บริษัทพัฒนาที่ดินที่มากไปด้วยอารมณ์ศิลปิน และมีเงินทุน คงเปิดศึกแย่งลูกค้าตลาดบนอย่างดุเดือด ว่ากันว่าเริ่องนี้ทำให้บรรดาแบรนด์นอกวิ่งวุ่นกันทีเดียว เพราะมีการติดต่อร่วมทุนร่วมมือกันหลายรูปแบบ

แสนสิริและโนเบิล คือคู่แข่งที่สูสีมากที่สุด ในแง่ของความคิดสร้างสรรค์ในการทำโครงการคอนโดมิเนียม และมีผู้บริโภคติดตามมากที่สุดเช่นกัน โดยเฉพาะโนเบิล มีคอนโดมิเนียมที่ใช้ผู้ชายหัวกวางมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ฮือฮากันไปแล้ว จนเป็นที่พูดต่อกันว่า ลูกค้าของคอนโดมิเนียมนี้คือกลุ่มเก้ง กวาง

ส่วนที่ว่าทำไมต้องเป็นแบรนด์ อาร์มานี่ เพราะแบรนด์นี้เป็นหนึ่งในผู้เล่นรายใหม่ของบริษํทพัฒนาที่ดินระดับโลก อาร์มาร์นี่เปิดตัวด้วยการทำโรงแรมหรูบนตึกที่สูงที่สุดในโลก เบิร์จ คาลิฟา ที่ดูไบ เป็นโรงแรมสุดหรูในชื่อ อาร์มาร์นี่ โฮเตล ดูไบ พร้อมกับพื้นที่พักอาคารในอาคารเดียวกันอีก 8 ชั้น ประสบการณ์ระดับนี้ ก็น่าจะเพียงพอที่ทำให้คนซื้อคอนโดมิเนียมในบ้านเรา ตกลงปลงใจได้ไม่ยาก

อุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด บอกว่า “ปี 2554 จะเห็นภาพแสนสิริชัดเจนมากขึ้นในแง่ของการจับกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ โดยแสนสิริวาง Positioning เป็นคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียมหรือท็อปสุดในเซ็กเมนต์นั้นๆ เพื่อคงภาพลักษณ์ความเป็นแบรนด์ระดับพรีเมียมของแสนสิริไว้เหมือนเดิม”

ปัจจุบันมีแลนด์แบงก์แล้วประมาณ 8 ทำเล เน้นในย่านสุขุมวิท, สาทร – ตากสิน, พหลโยธิน, สะพานควาย และแนวต่อขยายเส้นทางรถไฟฟ้า โดยแสนสิริได้วางแผนเปิดคอนโดมิเนียมใหม่ในปี 2554 จำนวน 11 โครงการ รวมมูลค่าราว 20,000 ล้านบาท

ขณะที่อุทัยบอกถึงภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2554 ว่าจะเป็นปีที่ผู้ประกอบการคอนโดมิเนียมรายเล็กจะทยอยล้มหายตายจากไป เพราะมาตรการคุมกลไกการปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทย และการพัฒนาคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ๆ นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดในระดับราคา50,000-70,000บาทต่อ ตร.ม. ส่วนระดับราคา100,000บาทต่อ ตร.ม. ขึ้นไปจะมีน้อยลง เนื่องจากที่ดินหายากขึ้นและราคาปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะทำเลย่านรถไฟฟ้าบีทีเอสและเอ็มอาร์ที

Key to Success
1.ทำเล
2.คุณภาพสินค้า
3.บริการหลังการขาย

“พฤติกรรมคนซื้อคอนโดมิเนียมจะเลือกทำเลเป็นอันดับแรก ตามด้วยแบรนด์ซึ่งมีความน่าเชื่อถือ มีคุณภาพ รวมถึงบริการหลังการขายที่จะทำให้ชีวิตของเขาไม่ยุ่งยาก นอกจากนี้ยังคำนึงพื้นที่ส่วนกลางเป็นสำคัญ คอนโดสไตล์รีสอร์ตจึงเป็นเทรนด์นิยม เพราะพื้นที่สีเขียวช่วยลดความเครียดของคนที่อาศัยในห้องสี่เหลี่ยมได้ ขณะที่กลยุทธ์ส่งเสริมการขายยอดนิยมคือ การลดราคา การตกแต่งแบบครบครัน และโปรโมชั่นแถม iPad, iPhone”