ย้อนไปเมื่อประมาณวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้เดินหน้าปิดเหมืองขุด ‘บิตคอยน์’ (Bitcoin) หลายแห่งรวมถึงเหมืองที่ใหญ่ที่สุดของจีน แบนการทำธุรกรรมผ่านสกุลเงินคริปโต พร้อมกับทยอยปิดบัญชีโซเชียลใน ‘เว่ยป๋อ’ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการซื้อขายคริปโตฯ ทั้งหมด ทำให้ราคาบิตคอยน์ร่วง
อ่าน >>> มูลค่า ‘Bitcoin’ ทรุดอีกหลังรัฐบาลจีนบุกปิด ‘เหมืองคริปโต’ ที่ใหญ่สุดของประเทศ
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้กลับส่งผลดีกับเหล่านักขุดบิตคอยน์ทั่วโลก เพราะประเทศจีนถือเป็นศูนย์กลางของนักขุดมานานแล้ว โดยการคาดการณ์ในอดีตระบุว่า ประมาณการขุดบิตคอยน์ประมาณ 65-75% ของโลกอยู่ที่ประเทศจีน และการปราบปรามนี้ทำให้คู่แข่งลดลง และทำให้การขุดนั้นง่ายขึ้นและให้ผลกำไรมากขึ้น
โดย CNBC รายงานว่า เพราะจำนวนผู้ขุดลดลง ทำให้ระบบอัลกอริทึมของบิตคอยน์ได้มีการปรับใหม่ เพื่อให้แน่ใจว่าจำนวนนักขุดที่น้อยลงจะไม่ส่งผลทำให้ปริมาณการผลิตลดลง ทำให้ผลให้การขุดเป็นไปได้ง่ายขึ้น และทำให้นักขุดที่ยังคงอยู่ในตลาดมีรายได้เพิ่มมากขึ้น
“คู่แข่งที่น้อยลงและความยากลำบากน้อยลง หมายความว่านักขุดที่เสียบเครื่องไว้จะเห็นการเพิ่มขึ้นอย่างมากในการทำกำไรและรายได้ที่มากขึ้น” Brandon Arvanaghi วิศวกรด้านการขุด bitcoin กล่าว
ทั้งนี้ ปัจจุบันอัตราแฮชเรตของบิตคอยน์ซึ่งเป็นอัตราสั่งสมของพลังงานคอมพิวเตอร์ของนักขุดทั่วโลกปรับตัวลดลงกว่า 54% จากเครือข่ายนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ทำให้ระบบปรับการขุดยากน้อยลง 28%
มีการประมาณการรายได้ของเหล่านักขุดอยู่ที่ 29 ดอลลาร์ต่อวัน (870 บาท) สำหรับผู้ที่ใช้เครื่องขุด Bitmain รุ่นล่าสุด เทียบกับก่อนหน้าอยู่ที่ 22 ดอลลาร์ต่อวัน (660 บาท) แม้ว่ารายได้จะผันผวนตามมูลค่าของเหรียญ โดยรายได้จากการขุดลดลงเพียง 17% จากจุดสูงสุดของราคาบิตคอยน์ในเดือนเมษายน ในขณะที่ราคาของเหรียญลดลงประมาณ 50%
Whit Gibbs ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Compass ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุด Bitcoin คาดว่า นักขุดจะทำกำไรได้มากกว่าประมาณ 35%