ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าระดับโลกและแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านอันดับ1 ของโลกติดต่อกัน 12 ปีซ้อนไฮเออร์ (Haier) รุกตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบสร้างสรรค์นวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าจัดทัพสินค้า ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีความทันสมัย และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสมาร์ทมากยิ่งขึ้นรวมถึงมีเทคโนโลยีที่ช่วยส่งเสริมในด้านสุขภาพและความสะดวกสบายครบครันทั้งเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า และสมาร์ททีวี ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อคนยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง ทุ่มงบการตลาดกว่า 1,000 ล้านบาท ครอบคลุมสื่อครบวงจรแบบ 360 องศา รวมทั้งจัดแคมเปญเพื่อสร้างความคึกคักให้ตลาดอย่างต่อเนื่อง กระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย พร้อมเดินหน้ามอบความช่วยเหลือเพื่อต่อลมหายใจให้ผู้ป่วยโควิด-19
มร.จาง เจิ้งฮุ้ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าระดับโลก และแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านอันดับ 1 ของโลกติดต่อกัน 12 ปีซ้อน เปิดเผยว่า “ตั้งแต่ปี 2563ที่ทั่วทั้งโลกต้องเผชิญกับวิกฤตโควิด-19ส่งผลกระทบในวงกว้าง รวมถึงตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยที่มีอัตราการเติบโตลดลง 8% เทียบกับปี 2562 ส่วนแนวโน้มครึ่งปีแรก2564 คาดการณ์ตลาดยังคงชะลอตัว เนื่องจากโรคระบาดยังไม่คลี่คลาย ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.ก) ได้คาดการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) อยู่ในอัตราต่ำเพียง1.8%
ทั้งนี้ ไฮเออร์ (ประเทศไทย) สร้างผลประกอบการปี 2563 ได้อย่างน่าพอใจ และสวนทางกับสภาวะตลาด โดยผลการดำเนินงานทั้งปีมีอัตราการเติบโต 31% เทียบกับปี 2562 หรือคิดเป็นยอดขาย 6,201 ล้านบาท เมื่อแยกเป็นรายผลิตภัณฑ์แบ่งเป็นเครื่องปรับอากาศไฮเออร์ยอดขายคิดเป็น 2,905 ล้านบาท (เติบโต19%), ตู้เย็นไฮเออร์ ยอดขายคิดเป็น 1,179 ล้านบาท (เติบโต 47%), เครื่องซักผ้าไฮเออร์ ยอดขายคิดเป็น 866 ล้านบาท (เติบโต 42%) สำหรับเครื่องใช้ในครัว (เติบโต 296%) ทีวี (เติบโต 110%) และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ มียอดขายคิดเป็น 1,251 ล้านบาท
นอกจากนี้ เครื่องปรับอากาศไฮเออร์ได้ก้าวสู่การเป็นเบอร์ 2 อย่างแข็งแกร่งของตลาดเครื่องปรับอากาศในประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาด 12.1% เพิ่มจากปีก่อน 10.3% ตู้เย็นไฮเออร์ขยับเป็นเบอร์ 5ของตลาด มีส่วนแบ่งทางการตลาด 11% เพิ่มจาก 7.6% เครื่องซักผ้าไฮเออร์ อยู่ในอันดับ 4 มีส่วนแบ่งทางการตลาด 8.9% เพิ่มจาก 7% โดยเฉพาะสินค้าไฮเอนด์ เครื่องซักผ้าฝาหน้าและฝาบน มียอดขายโตเติบโตถึง 102% เป็นต้น
สำหรับภาพรวมครึ่งปีแรก 2564 ของไฮเออร์ ยอดขายยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเติบโต 27% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 ด้วยมูลค่า 4,510 ล้านบาท โดยสินค้าทุกหมวดสร้างยอดขายเติบโตได้อย่างดี เช่น
– เครื่องปรับอากาศไฮเออร์ เติบโต 7% (คิดเป็นยอดขาย 2,210 ล้านบาท)
– ตู้เย็นไฮเออร์เติบโต 38% (คิดเป็นยอดขาย 958 ล้านบาท)
– เครื่องซักผ้าไฮเออร์ เติบโต 56% (คิดเป็นยอดขาย 594 ล้านบาท)
– ตู้แช่ไฮเออร์ เติบโต 40% (คิดเป็นยอดขาย 398 ล้านบาท)
– ทีวีไฮเออร์ เติบโต 159% (คิดเป็นยอดขาย 192 ล้านบาท)โดยเฉพาะขนาดทีวีตั้งแต่ 55 นิ้วขึ้นไป ที่ตลาดให้การตอบรับเป็นอย่างดี
– เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กไฮเออร์ เติบโต 9% (คิดเป็นยอดขาย 67 ล้านบาท)
– เครื่องทำน้ำอุ่นไฮเออร์ เติบโต 59% (คิดเป็นยอดขาย 36 ล้านบาท)
– เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวไฮเออร์ เติบโต 652% (คิดเป็นยอดขาย 12.8 ล้านบาท) โดยกลุ่มเตาแก๊สมีการเติบโตสูงสุดกว่า 540% และเครื่องดูดควันตามมาที่ราว 114%
นอกจากยอดขายช่องทางออฟไลน์ที่เติบโต ช่องทางอีคอมเมิร์ซของแบรนด์ไฮเออร์ก็สามารถทำรายได้เติบโตสูงถึง 75% โดยทำยอดขายในครึ่งปีแรก 2564 ได้ถึง 250 ล้านบาท เกินจากเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้ในครึ่งปีแรกคือ 90 ล้านบาทนอกจากนี้ “แคนดี้ (Candy)” แบรนด์น้องใหม่บนแพลทฟอร์มอีคอมเมิร์ซยังทำยอดขายได้ถึง 91 ล้านบาทหลังจากเปิดตัวไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
มร.จาง เจิ้งฮุ้ย กล่าวเพิ่มเติมว่า “แม้ในช่วงที่เกิดโรคโควิดระบาด แต่ครึ่งปีแรกสินค้าทุกหมวดของไฮเออร์สามารถสร้างยอดขายเติบโตได้อย่างดี ขณะที่ออนไลน์ก็เติบโตก้าวกระโดดกว่า 100% เนื่องจากบริษัทมีความยืดหยุ่นในการทำงาน มีการปรับตัว พลิกกลยุทธ์การทำตลาดตลอดเวลา เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงมุ่งพัฒนาสินค้าที่มีฟังก์ชันครบครัน ในราคาจับต้องได้
ด้านแผนธุรกิจปี 2564 บริษัทฯ ยังเดินหน้าทำตลาดแบรนด์ “ไฮเออร์” และแบรนด์น้องใหม่ “แคนดี้” ผ่านการพัฒนาสินค้าใหม่สู่ตลาด เน้นการนำเทคโนโลยีตอบโจทย์และยกระดับการใช้ชีวิตภายในบ้านหรือ Smart Home, Smart Lifeช่วยทำให้ผู้บริโภคมีความสะดวกสบายมากขึ้น ที่สำคัญต้องมีฟังก์ชันเสริมสุขภาพรับวิถีปกติใหม่(New Normal) ลดการสัมผัส การสั่งงานผ่าน Wi-Fi เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังคงมุ่งสร้างอีโคซิสเทม (EcoSystem) เพื่อต่อยอดธุรกิจทั้งการให้บริการลูกค้า การซื้อสินค้าและการชำระเงินผ่านแอปพลิเคชั่น การลุยขยายช็อป ปรับปรุงร้านดีลเลอร์ การปรับภาพลักษณ์โชว์รูมให้มีความทันสมัย เปิดพื้นที่จำลองห้องพร้อมเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือ Experience zone เพื่อให้ลูกค้าทดลองใช้และสัมผัสประสบการณ์การใช้งานจริง เป็นต้น”
“สำหรับแผนการทำตลาดเชิงรุก คาดว่าจะส่งผลให้บริษัทสร้างยอดขายในปี 2564 เป็น 8,445 ล้านบาท หรือเติบโต 37% ด้วยกลยุทธ์ต่างๆที่ทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อสานเป้าหมายการก้าวสู่ผู้นำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในครัวเรือน สร้างยอดขายรวมแตะ 12,000 ล้านบาท ภายในปี 2566” มร.จาง เจิ้งฮุ้ยกล่าวทิ้งท้าย
ด้านธเนศร์ บินอาซัน รองประธานกรรมการบริหารบริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การทำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ไฮเออร์ปีนี้ จะเน้นสินค้ากลุ่ม Smart Home เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาด สร้างความสะดวกสบายให้แก่ผู้บริโภค ควบคู่กับการดูแลสุขอนามัยทั้งลดการสัมผัส การสั่งงานผ่าน Wi-Fi โดยมีสินค้าไฮไลต์ทั้งเครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น และสมาร์ททีวี รุกตลาด
พร้อมกันนี้ บริษัทได้ทุ่มงบประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อทำการตลาดแบบครบวงจร 360 องศา สื่อสารและสร้างแบรนด์ผ่านสื่อโฆษณาทางทีวีออนไลน์และสื่อนอกบ้านเต็มสูบ รวมถึงการจัดแคมเปญผ่านแพลตฟอร์ม Facebook, Instagram, Tiktok และจัด Live Streaming เชื่อมการขายสินค้าออนไลน์สู่ออฟไลน์ ใช้อาวุธการตลาดผ่านผู้ทรงอิทธิพลทางความคิด (Influencer/KOLs) สร้างการรับรู้สินค้าตลอดทั้งปีรวมทั้งการใช้แบรนด์แอมบาสเดอร์ “บอย” ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์สร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง
ด้านช่องทางจัดจำหน่ายจะมีการเปิดไฮเออร์ แบรนด์ ช็อปอีก20สาขา รวมมีร้านให้บริการภายในปลายปีนี้ 30 สาขา และปรับปรุงหน้าร้านให้กับดีลเลอร์และห้างค้าปลีกสมัยใหม่กว่า 190 แห่งทั่วประเทศ เพิ่ม IoT Smart Home Zone เพื่อสาธิตการใช้งานและให้ลูกค้าสามารถทดลองใช้และสัมผัสประสบการณ์จริงรวมทั้งโครงการ Smart Sharing AC บริการเครื่องปรับอากาศเติมเงิน เริ่มต้นเพียงเดือนละ 900 บาท ซึ่งในอนาคตอาจมีเพิ่มเติมขยายไปยังสินค้าอื่นๆ อีกด้วย
ด้วยภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลต่อกำลังซื้อผู้บริโภค ไฮเออร์จึงแก้เกม ตอกย้ำการพัฒนาสินค้าคุณภาพ ฟังก์ชันครบ ราคาเหมาะสม เจาะผู้บริโภค เช่น ตู้เย็น 4 ประตูของไฮเออร์ที่เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ สินค้ามีราคาเริ่มต้นถูกสุดในตลาด ขณะเดียวกันเมื่อโควิด-19 ระบาด ทำให้การจัดกิจกรรมทางการตลาดทำได้ยากขึ้น บริษัทจึงปรับกลยุทธ์อย่างรวดเร็วทรานส์ฟอร์มกิจกรรมจากออฟไลน์สู่ออนไลน์ ลุย Live Streaming ร่วมกับดีลเลอร์ทั่วประเทศ ส่งเสริมการขาย เพื่อผลักดันการเติบโตไปพร้อมๆ กัน”
ด้านปิยะศักดิ์ ศรีบัว ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่า “แคนดี้ เป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าน้องใหม่ สไตล์มินิมอลจากอิตาลีได้เปิดตัวทำตลาดผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซได้ 2 เดือน โดยเจาะกลุ่มผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ เจนเนอเรชั่น Y และ Z ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี ทำให้แบรนด์ได้รับการกล่าวถึงในช่องทางออนไลน์ โดยติดอันดับแฮชแท็ก (#) เทรนด์ทวิตเตอร์ในกว่า 10 ประเทศทั่วโลกในช่วงเปิดตัว และเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทยและ Worldwide ในช่วงเปิดตัว MV เพลง “ชีวิตดีเพราะมีเธอ” ซึ่งทำให้ช่วงเปิดตัวของแคนดี้สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 64 ล้านบาท
เพื่อสานเป้าหมายยอดขายปีนี้ให้ทะลุ 300 ล้านบาท แคนดี้จึงจัดทัพสินค้าใหม่เติมไลน์อัพให้มากขึ้น เช่น กาต้มน้ำไฟฟ้า เครื่องปิ้งขนมปัง เตาไฟฟ้าอเนกประสงค์ ส่วนการทำตลาดยังคงใช้สองหนุ่มสุดฮ็อต “มิว” ศุภศิษฏ์ จงชีวีวัฒน์ และ “กลัฟ” คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์ เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์แรกในไทย ตอบรับไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่และวัยทำงาน พร้อมทุ่มงบกว่า 50 ล้านบาท จัดแคมเปญแนะนำสินค้าใหม่ที่พัฒนาขึ้นเพื่อผู้บริโภคยุคใหม่อย่างแท้จริง ทั้งฟังก์ชันการใช้งานที่สะดวก ดีไซน์ทันสมัย เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์สู่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งกิจกรรมสำหรับสมาชิกแคนดี้ที่จะ ได้รับ Exclusive Benefit ต่างๆอย่างต่อเนื่อง
แคนดี้ (Candy) เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าน้องใหม่ ที่เน้นทำตลาดอีคอมเมิร์ซ มุ่งตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายนักศึกษา วัยทำงาน ที่อาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ คอนโดมิเนียม และมีความต้องการเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ฟังก์ชันครบครัน ดีไซน์สวย และราคาไม่แพง ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวสอดคล้องกับจุดแข็งของแคนดี้ จนผู้บริโภคตอบรับ มีการซื้อสินค้าสร้างยอดขายอย่างน่าพอใจ”
ด้วยความหวังและมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 นี้ดีขึ้นในเร็ววัน กลุ่มบริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้นำศักยภาพของการเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าระดับโลก มาร่วมแบ่งปันแก่สังคมไทยด้วยการเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ในการต่อสู้วิกฤตโควิด-19 และต่อลมหายใจให้ผู้ป่วยโควิดที่รอคอยอุปกรณ์ช่วยชีวิตโดยน้อมเกล้าฯถวายเครื่องช่วยหายใจจำนวน 2 เครื่อง มูลค่า 3,300,000 บาท ให้แก่โรงพยาบาลค่ายสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จ.ร้อยเอ็ด ผ่านกองทุนชัยพัฒนาสู้ภัยโควิด-19 (และโรคระบาดต่างๆ) ซึ่งสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้จัดตั้งขึ้น เพื่อนำไปใช้ช่วยเหลือโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ในการจัดหาอุปกรณ์และสิ่งของจำเป็นสำหรับรักษาผู้ป่วยโควิด-19 และมอบเครื่องช่วยหายใจอีก 8 เครื่อง มูลค่า 13.2 ล้านบาท ในเดือนเมษายน–พฤษภาคม 2564 ซึ่งมอบให้แก่ โรงพยาบาลสงขลา จ.สงขลา, โรงพยาบาลพะเยา จ.พะเยา และมูลนิธิโรงพยาบาลตำรวจในพระบรมราชินูปถัมภ์ กรุงเทพฯ และโรงพยาบาลพุทธโสธร จ.ฉะเชิงเทรา
นอกจากนี้ ยังเดินหน้าโครงการ “ไฮเออร์ ให้เธอ ร่วมใจสู้ภัยโควิด” ส่งมอบเครื่องใช้ไฟฟ้าไฮเออร์ให้โรงพยาบาล และ โรงพยาบาลสนาม 44 แห่งทั่วประเทศ รวมมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท อาทิ รพ.สนามธรรมศาสตร์ รพ.สนามวิทยาลัยอาชีวศึกษาปทุมธานี รพ.สนามสมุทรปราการรวมใจ รพ.สนามศูนย์สนามกีฬากลางปัตตานีและอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนและเพื่อเป็นกำลังใจให้แก่บุคลากรทางการแพทย์อย่างต่อเนื่องอีกด้วย