‘COM7’ มั่นใจพลัง ‘iPhone 13’ อุดยอดขายไตรมาส 3 ดันยอดทั้งปีโต 20%

ในปีที่ผ่านมา ‘iPhone 12’ ที่ถือเป็นสมาร์ทโฟน ‘5G’ รุ่นแรกของ Apple และทำยอดจองสูงสุดตั้งแต่เคยเปิดจองมาในทุกรุ่น และมา ‘iPhone 13’ ก็แซงหน้ายอดจองของ iPhone 12 ไปอีก ตามข้อมูลจาก ‘COM7’ ตัวแทนจำหน่ายสินค้า Apple ในไทย และด้วยการเปิดตัวที่เร็วกว่าของ iPhone 12 ทำให้ COM7 มั่นใจว่าจะทำให้ไตรมาส 4 เป็น New High ของบริษัท

สุระ คณิตทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 กล่าวว่า iPhone 13 ที่เปิดพรีออเดอร์เมื่อวันที่ 1 ต.ค. ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดี โดยเมื่อเทียบกับ iPhone 12 รุ่นที่แล้วถือว่าดีกว่ามาก โดยเฉพาะ iPhone 13 Pro Max 256GB สีเซียร์ร่าบลู ที่ได้รับการตอบรับสูงที่สุด

โดยปัจจัยที่ทำให้ iPhone 13 ยังมียอดคำสั่งซื้อที่ดีมองว่ายังเป็นเพราะผู้บริโภคกลุ่มกลาง-บนที่ไม่ได้ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ และเพราะการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้น ทำให้นำเงินมาจับจ่ายอัพเกรดสมาร์ทโฟน โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้ iPhone 10 และ iPhone 11 ที่ถึงเวลาต้อง อัพเกรด iPhone รุ่นใหม่

จากการตอบรับที่ดี รวมถึง iPhone 13 ถือเป็นรุ่นที่มีการเปิดตัวและวางจำหน่ายเร็ว โดยเริ่มจองวันที่ 1 ต.ค. และวางจำหน่าย 8 ต.ค. เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว iPhone 12 วางขาย 21 ธ.ค. ทำให้สามารถวางจำหน่ายได้เร็วขึ้นถึง 2 เดือน ดังนั้น เชื่อว่าผลประกอบการไตรมาส 4 จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี ช่วยดันให้ภาพรวมเติบโตได้ 15-20% จากปีก่อนมีรายได้อยู่ที่ราว 37,352 ล้านบาท

“ปีที่แล้ว iPhone 12 ขาย 10 วันยังทำได้ดี แต่ iPhone 13 เรามีเวลาขายได้เกือบทั้งไตรมาส และปกติไตรมาส 4 จะเป็นช่วงไฮซีซั่นอยู่แล้ว ดังนั้นเชื่อว่าปีนี้จะยิ่งดี แม้ว่าไตรมาส 3 จะต้องปิดร้านไปเดือนครึ่งเพราะล็อกดาวน์ แต่เชื่อว่าผลประกอบการไตรมาส 4 จะช่วยอุดรายได้ที่หายไป”

ปักธงขยาย 1,500 สาขาในอีก 3 ปี

ในส่วนของการขยายสาขาจะขยายอีก 40-50 สาขาในช่วงไตรมาส 4 นี้ จบสิ้นปีคาดว่าจะมี 1,000 สาขา ปัจจุบัน COM7 มีสาขาภายใต้การบริหารงานของกลุ่มบริษัทรวมทั้งหมด 958 สาขา แบ่งเป็น BaNANA 353 สาขา Studio7 109 สาขา KingKong Phone 85 สาขา True Shop by Com7 123 สาขา แฟรนไชส์ 109 สาขา BKK 43 สาขา iCare 30 สาขา และอื่น ๆ 106 สาขา โดย COM7 จำหน่ายสินค้ากลุ่ม Apple และ  iPhone ผ่านร้านค้าประมาณ 700 สาขา

อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่จะเน้นไปทาง สแตนด์อโลนและป๊อปอัพสโตร์ แทน เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ทำให้การเปิดหน้าร้านในห้างฯ อาจมีความไม่แน่นอน โดยมีเป้าหมายขยายให้ ครบทุกจังหวัดทั่วประเทศภายใน 2-3 ปีจากนี้ โดยคาดว่าจำนวนสาขาที่จะขยายสูงสุดอยู่ที่ 1,500 สาขา ในส่วนของออนไลน์แม้จะเติบโตเป็นหลักร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วน 6% ของยอดขายรวม โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนเป็น 10% ภายในปีหน้า

“ตอนนี้เรามีแชร์ 15% ในตลาดถ้าอยากจะเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ แค่ออนไลน์อาจจะยังไม่พอ ดังนั้น การขยายสู่ต่างจังหวัดจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ในตลาดได้ ส่วนช่องทางออนไลน์ เราต้องการเป็นเบอร์ 1 ด้านสินค้าไอทีภายใน 2-3 ปี”

นอกจากนี้ บริษัทจะเพิ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อเป็นสินค้าใหม่ ๆ ลงพอร์ต จากที่ปัจจุบันสินค้ากว่า 50% เป็นสมาร์ทโฟน อาทิ ทีวี, เครื่องชงกาแฟ, กาต้มน้ำ โดยบริษัทได้จับมือกับ Index Living Mall ในการจัดจำหน่ายสินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน

“เรามองว่าอนาคตจะเป็นการขายเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมด ไม่ได้แบ่งว่าสมาร์ทโฟน ทีวี โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ที่ไม่ได้มีการแบ่งแยก”

หวังภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นปลายปี

อย่างไรก็ตาม มองว่าปัจจัยบวกหลังจากนี้ยังเชื่อว่าน่าจะมีมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ เช่น มาตรการลดภาษี ซึ่งสินค้าไอทีต่าง ๆ ยังคงเป็นสินค้าอันดับต้น ๆ ที่คนใช้จ่าย ยิ่งภาคการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัวทำให้ผู้บริโภคยังมีเงิน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยลบที่น่ากังวลยังคงเป็นปัญหาด้านซัพพลาย ไม่ว่าจะชิปเซ็ตที่ขาดตลาด หรือปัญหาพลังงานของจีน ยังคงเป็นตัวฉุดตลาดอยู่ อย่าง iPhone 13 และ iPad ปัจจุบันก็มีซัพพลายจำกัด นอกจากนี้ ค่าเงินบาทที่อ่อน อาจจะทำให้สินค้าแพงขึ้นก็เป็นอีกปัญหา แต่ยังไม่รุนแรงเท่าเรื่องซัพพลายเชน