ปีที่ผ่านมา มีแพลตฟอร์มโซเชียลหลายรายออกมาบ่นถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายความเป็นส่วนตัวของระบบปฏิบัติการ iOS ของผลิตภัณฑ์ Apple ซึ่งส่งผลให้การติดตามพฤติกรรมและการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่ใช้ในการยิงโฆษณาทำได้ยากมากขึ้น และนำไปสู่ราคาหุ้น
สำหรับหุ้นของ Facebook และ Twitter ลดลงเกือบ 7% แต่ที่หนักสุดคือ Snap ที่ลดลงถึง 22% เนื่องจากผู้ถือหุ้นกล่วผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของ iOS แม้ว่าในไตรมาส 3 บริษัทมีรายได้ 35,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57% และมีจำนวนผู้ใช้งานรายวัน (Daily Active Users) ทั้งหมด 306 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้น 23% ก็ตาม แต่เพราะบริษัทนั้นเติบโตได้น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 36,700 ล้านบาท
ในเดือนก.พ. ที่ผ่านมา Evan Spiegel ซีอีโอของ Snap ยกย่องว่า การเปลี่ยนแปลงของ iOS เป็นมิตรต่อผู้บริโภค แต่ก็มองว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีความเสี่ยงต่อรายได้ในไตรมาส 4 และกล่าวเมื่อวันที่ 21 ต.ค. ที่ผ่านมาว่า การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของ iPhone ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโฆษณาของ Snap มากกว่าที่คาดการณ์ไว้
“เราเคยคาดการณ์ว่าจะเกิดการหยุดชะงักของธุรกิจในระดับหนึ่งจากโซลูชันการวัดผลใหม่ที่ Apple ใช้ ซึ่งมันทำให้พันธมิตรโฆษณาของเราสามารถวัดและจัดการแคมเปญโฆษณาสำหรับ iOS ได้ยากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่ปัญหา iOS แต่การที่ซัพพลายเชนทั่วโลกกำลังสะดุด รวมถึงปัญหาขาดแคลนแรงงานในสหรัฐฯ ส่งงผลให้แบรนด์ต่าง ๆ ลดใช้งบโฆษณาลงในช่วงที่ผ่านมา โดย Snap คาดว่ารายได้ในไตรมาส 4 จะอยู่ระหว่าง 1.16 พันล้านดอลลาร์ถึง 1.20 พันล้านดอลลาร์ น้อยกว่ารายรับ 1.36 พันล้านดอลลาร์ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
“น่าเสียดายที่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นในช่วงนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่พันธมิตรโฆษณาของเรามักจะคาดหวังว่าซัพพลายเชนของพวกเขาจะทำงานที่ความจุสูงสุด และในเวลาที่เราคาดว่าความต้องการโฆษณาสูงสุดจะผลักดันให้เกิดการแข่งขันสูงสุด และทำให้ราคาสูงสุดในการประมูลของเรา” Andersen กล่าว