‘Covestro’ ขึ้นแท่นผู้นำนวัตกรรมโพลีเมอร์ระดับโลก ปรับกลยุทธ์ สายการผลิต ‘ระบบหมุนเวียนเต็มรูปแบบ’ ส่งต่ออนาคตที่ยั่งยืน

Covestro (โคเวสโตร) ผู้ผลิตนวัตกรรมโพลิเมอร์และพลาสติกประสิทธิภาพสูงชั้นนำ top 3 ของโลก อุตสาหกรรมที่จะมาปฏิวัตินวัตกรรมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวันของคนยุคปัจจุบันและในอนาคต ด้วยฐานผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ ขับเคลื่อนจากประสบการณ์กว่า 80 ปี ประกาศปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจมุ่งสู่ “การหมุนเวียนอย่างสมบูรณ์” ความสำเร็จก้าวแรกเพื่อ “อนาคตที่ยั่งยืน” ผ่านการจัดโครงสร้างกลุ่มบริษัทใหม่เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จในการแบ่งสามกลุ่มธุรกิจเดิมอันได้แก่ กลุ่มโพลียูรีเทน กลุ่มโพลีคาร์บอเนต และกลุ่มผลิตภัณฑ์สารเคลือบ สารยึดเกาะ และผลิตภัณฑ์เฉพาะด้านออกเป็น 7 หน่วยธุรกิจใหม่ให้ตรงใจผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น

โคเวสโตร (ประเทศไทย) ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดเป็นหนึ่งในแปดโรงงานผลิตหลักของโคเวสโตรจากการดำเนินงานทั่วโลก มีบทบาทสำคัญอย่างต่อเนื่องเกือบ 60 ปี นับตั้งแต่ปี 2542 ถือเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคอาเซียน ด้วยการมีจุดยุทธศาสตร์สำหรับการผลิตและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ดี พร้อมลงทุนในนวัตกรรมใหม่ ๆ มีความรู้ความสามารถด้านเทคนิค ด้วยพนักงานที่มีศักยภาพกว่า 705 คน เครือข่ายโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ และได้รับการสนับสนุนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของรัฐบาล สามารถขยายการผลิตจากโรงงานผลิตเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญหลายแห่ง พร้อมเติบโตไปยังธุรกิจสายอื่นๆ มุ่งเน้นธุรกิจให้สอดคล้องตามความต้องการของลูกค้าและตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในปัจจุบัน

ดร.ทีโม สลาวินสกี้ (Dr.Timo Slawinski) กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคเวสโตร (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึง การเสริมสร้างธุรกิจให้เติบโตโดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ดำเนินนโยบายโดยพัฒนา ลงทุน และคิดค้นอย่างยั่งยืน สามารถทำกำไรให้แก่ธุรกิจ ในรูปกลยุทธ์การ “หมุนเวียนอย่างเต็มรูปแบบ” ผลักดัน “ขับเคลื่อนสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน” และ “เป็นเราในแบบที่ดีที่สุด” ทั้งระยะกลาง – ระยะยาว โครงสร้างกลุ่มบริษัทใหม่ โคเวสโตรได้จัดระเบียบธุรกิจทั้งเจ็ดกลุ่ม โดยคำนึงจากปัจจัยความสำเร็จของแต่ละส่วน รวมกิจกรรมการดำเนินงานทั้งหมดไว้ในห่วงโซ่คุณค่า มุ่งเน้นธุรกิจไปที่ความต้องการของแต่ละตลาด เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้นกว่าเดิม อันได้แก่

– กลุ่มโซลูชันและผลิตภัณฑ์เฉพาะด้าน: ประกอบไปด้วย 6 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ กลุ่มยูรีเทนออกแบบเฉพาะ กลุ่มเทอร์โมพลาสติกโพลียูรีเทน กลุ่มสารเคลือบและสารยึดเกาะ กลุ่มอีลาสโตเมอร์ กลุ่มพลาสติกเชิงวิศวกรรม และกลุ่มวัสดุฟิล์มชนิดพิเศษ ความโดดเด่นคือการเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนและใช้นวัตกรรมขั้นสูง ซึ่งโคเวสโตรได้ผสมผสานเข้ากับการให้บริการเทคโนโลยีแอปพลิเคชัน

– กลุ่มวัสดุประสิทธิภาพสูง: ธุรกิจนี้จะแยกกลุ่มออกมา ประกอบไปด้วยกลุ่มธุรกิจที่มีโพลีคาร์บอเนตมาตรฐาน ส่วนประกอบยูรีเทนมาตรฐาน และสารเคมีพื้นฐาน ส่วนสำคัญคือการให้บริการผลิตภัณฑ์มาตรฐานที่มีความน่าเชื่อถือ ในราคาสมเหตุสมผล

เนื่องจากกลุ่มอุตสาหกรรมและผู้บริโภคมีการตื่นตัวต่อสังคมมากขึ้น เพื่อการใช้ชีวิตได้อย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โคเวสโตรจึงปรับกลยุทธ์วางเป้าหมายใหญ่ทางด้านการเติบโตอย่างยั่งยืนสำหรับ ปี พ.ศ. 2568 ว่าด้วยการเป็นศูนย์กลางการดำเนินตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเต็มรูปแบบในระยะยาว ให้นโยบายกระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ใน portfolio มุ่งสู่การลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก (ที่เกิดจากการผลิตผลิตภัณฑ์ต่อหนึ่งเมตริกตัน) ให้ได้ 50% เมื่อเทียบกับค่าพื้นฐานในปี 2548 ซึ่ง ณ สิ้นปี 2563 โคเวสโตรสามารถลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้แล้วกว่า 46.2% การใช้งานคาร์บอนให้คุ้มค่าที่สุด เพื่อการเป็น climate neutral ในอนาคต พร้อมปรับการวิจัยและพัฒนา (R&D) ขององค์กรให้สอดคล้องกับเป้าหมายของสหประชาชาติ เพื่อส่งต่อมาตรฐานความยั่งยืนนี้ไปยังซัพพลายเออร์ของโคเวสโตรเอง

โคเวสโตรจึงมุ่งเน้น “การขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน” ด้วยผลิตภัณฑ์หลักมาจากวัสดุประเภทโพลีคาร์บอเนต และโพลียูรีเทน ซึ่งกำลังจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วโลก ด้วยคุณสมบัติน้ำหนักเบา ทนทาน แข็งแกร่ง และยืดหยุ่นสูง สามารถนำไปใช้ทดแทนวัสดุสิ้นเปลืองที่มาจากธรรมชาติได้เป็นอย่างดี สามารถใช้งานได้ทั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์และการขนส่ง การก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ อุตสาหกรรม อิเล็กทรอนิกส์ หรือเครื่องไฟฟ้าใช้ในบ้าน รวมถึงกีฬา การพักผ่อน เครื่องสำอาง สุขภาพ และอุตสาหกรรมเคมี ที่ตรงต่อความต้องการของลูกค้า จากยอดขายของกลุ่มบริษัทอยู่ที่ 10.7 พันล้านยูโร (ตัวเลขรายงานของปี 2563) ผสมผสานกับหลักการ “People, Planet, Profit” (PPP) ช่วยให้องค์กรสามารถส่งเสริมมูลค่าในระดับเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคมไปพร้อม ๆ กันได้ การตัดสินใจและกิจกรรมที่คำนึงถึงหลัก “3P” ไม่ทำร้ายสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อให้สอดรับในการทำกำไรและความยั่งยืนที่ต่อเนื่อง

โคเวสโตรยังวางเป้าหมายระยะยาวไว้ที่ “การหมุนเวียนอย่างเต็มรูปแบบ” ในยุทธศาสตร์ส่วนที่สาม คือ “มีการหมุนเวียนอย่างเต็มรูปแบบ” เพื่อกำหนดทิศทางในการมุ่งไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างยั่งยืน โดยฝังหลักการไว้ในโครงสร้างการดำเนินงาน และบุกเบิกอุตสาหกรรมพลาสติกทั้งหมด มุ่งหวังที่จะนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาในภาคการเมือง วิทยาศาสตร์ และเศรษฐกิจ เพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่เศรษฐกิจที่เป็นกลางต่อสภาพอากาศและอนุรักษ์ทรัพยากร จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเติบโตของประชากร วิถีชีวิตที่ไม่ยั่งยืนในปัจจุบัน การค้นหาและนำโซลูชันใหม่ ๆ ทดแทนทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด รวมถึงการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีอายุการใช้งานให้ยาวนานที่สุด หลีกเลี่ยงของเสีย และการสำรวจแหล่งวัตถุดิบทางเลือกอื่น ๆ ที่ยั่งยืน อย่าง วัสดุชีวมวลเพื่อทดแทนทรัพยากรฟอสซิล, คาร์บอนไดออกไซด์นำมาสร้างพลังงานหมุนเวียน, นวัตกรรมรีไซเคิลนำกลับมา-มาใช้ใหม่ ลดขยะพลาสติก เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนทั่วโลก ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน โคเวสโตรจึงนำเสนอโซลูชันที่มีการลดคาร์บอนฟุตปรินท์ (Carbon Footprint) ให้กับลูกค้านำไปใช้งานสายการผลิตที่มีอยู่ โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยน ผ่านหลักการ mass balance รับรองในระดับสากลจาก ISCC (International Sustainability and Carbon Certification) มีการคำนวณการใช้วัตถุดิบทางเลือก การนำวัตถุดิบทางเลือกมาใช้กี่เปอร์เซ็นต์ และสามารถผลิตพลังงานสีเขียวได้เท่าไหร่ เพื่อให้เกิดการตอบรับในส่วนนี้มากขึ้น

ศูนย์การผลิตโคเวสโตรที่มาบตาพุดในประเทศไทย ถือเป็นสถานที่ผลิตโพลีคาร์บอเนตที่ทันสมัยมีมาตรฐานระดับโลก มีห้องปฏิบัติด้านเทคนิคโพลียูรีเทนอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู ช่วยให้ทำงานร่วมกับลูกค้าได้อย่างใกล้ชิด ตอบสนองต่อความต้องการการพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างครบถ้วน จากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในไตรมาสแรกของปี 2564 แสดงให้เห็นถึงความต้องการของตลาดและความเชื่อมั่น แม้จะเกิดวิกฤตในปัจจุบัน ตลอดจนการเพิ่มความสามารถในการผลิตภาพยนตร์ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในระยะยาวของโคเวสโตร (ประเทศไทย) นอกจากนี้ในปี 2565 ได้มีการขยายการลงทุนสำหรับผลิตภัณฑ์อีลาสโตเมอร์แห่งใหม่ ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ในศูนย์การผลิตโคเวสโตรที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เพื่อดำเนินการขยายสายธุรกิจขององค์กรสู่อนาคตต่อไป