มาสเตอร์การ์ดเปิดตัวบัตรเพื่อธุรกิจในรูปแบบซื้อก่อนจ่ายทีหลัง หรือ Buy Now, Pay Later (BNPL) ครั้งแรกในโลก เพื่อเป็นโซลูชั่นสำหรับธุรกิจขนาดเล็กในเอเชียแปซิฟิก

จากที่มีการคาดการณ์ว่าภายใน พ.ศ. 25681 บริการผ่อนจ่ายในรูปแบบซื้อก่อนจ่ายทีหลัง หรือ Buy Now, Pay Later (BNPL) ซึ่งมุ่งเน้นไปยังผู้บริโภคจะมีมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐในแง่ของปริมาณสินค้ารวมประจำปีทั่วโลก วันนี้มาสเตอร์การ์ดได้เปิดตัวโมเดลการจ่ายที่เป็นนวัตกรรมใหม่ในรูปแบบที่คล้ายคลึงกันด้วยบัตรเพื่อธุรกิจซึ่งออกแบบมาเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) เรียกว่า Mastercard Pay & Split ซึ่งจะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถมอบการชำระเงินในรูปแบบซื้อก่อนจ่ายทีหลังแก่ธุรกิจขนาดเล็กได้ โดยบริการดังกล่าวซึ่งนับเป็นครั้งแรกในโลกจะช่วยให้เกิดการผ่อนชำระแบบ Open-loop ในเครือข่ายและสามารถใช้ได้ทั่วโลก

บัตรดังกล่าวพร้อมให้ธนาคารทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมอบทางเลือกทางการเงินที่ยืดหยุ่นแก่กลุ่มธุรกิจที่มีโอกาสทางการเงินน้อยกว่า และช่วยกระตุ้นการเติบโตในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนนับไม่ถ้วนในภูมิภาคในช่วงที่เศรษฐกิจยังคงไม่แน่นอน

ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ธุรกิจขนาดเล็กให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินในรูปแบบ ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง (BNPL) อย่างมาก โดยเฉพาะในประเทศอินเดียและประเทศสิงคโปร์ โดยจากผลสำรวจของมาสเตอร์การ์ดในปี 2564 ระบุว่า ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 77 ในประเทศอินเดียและร้อยละ 80 ในสิงคโปร์ ได้แสดงความสนใจในผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในการผ่อนชำระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบสำหรับธุรกิจขนาดเล็กโดยเฉพาะ สำหรับในระดับโลก ร้อยละ 75 ของเจ้าของธุรกิจ SME ที่เคยใช้การผ่อนชำระสำหรับการใช้จ่ายส่วนตัว กล่าวว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะใช้วิธีการชำระเงินที่คล้ายคลึงกันสำหรับธุรกิจของตน1

จากการที่ BNPL หรือซื้อก่อนจ่ายทีหลังได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภค ผลิตภัณฑ์ใหม่จากมาสเตอร์การ์ดที่ออกแบบมาเพื่อธุรกิจการค้านี้ ถูกปรับให้เหมาะกับความต้องการของธุรกิจขนาดเล็กโดยเฉพาะ โดยช่วยให้ผู้ถือบัตรเปลี่ยนการซื้อสินค้าจากผู้ค้า 80 ล้านรายทั่วโลกที่รับมาสเตอร์การ์ด2 ให้เป็นการผ่อนชำระแบบรายเดือนหรือเป็นงวด ด้วยบริการ Pay & Split ธุรกิจจะสามารถจัดซื้อแบบผ่อนชำระกับซัพพลายเออร์ทั่วโลก ทำให้บริหารกระแสเงินสดได้ดียิ่งขึ้น และลดความยุ่งยากในการบริหารแผนการชำระเงิน

นอกจากนี้ Pay & Split ยังจะช่วยแก้ปัญหาข้อที่สองที่ธุรกิจ SME ต้องเผชิญ ในช่วงวิกฤติของการแพร่ระบาด ธุรกิจขนาดเล็กประสบปัญหาการเข้าถึงเครดิตหรือสินเชื่อที่มีเงื่อนไขที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่ไม่มีบันทึกประวัติทางการเงินในแบบที่ธุรกิจขนาดใหญ่มี ดังนั้น Pay & Split นอกจากจะช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กบริหารการเงินได้ง่ายขึ้น แล้วยังช่วยธุรกิจเล็กๆ เหล่านี้บันทึกและสร้างประวัติการเงินได้อีกด้วย

ซานดีฟ มาลโฮทรา รองประธานบริหาร ฝ่ายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรม มาสเตอร์การ์ดอธิบายเพิ่มเติมว่า “การเงินมักเป็นเรื่องท้าทายสำหรับธุรกิจขนาดเล็กมาโดยตลอด แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดได้ทำให้ปัญหานี้เป็นประเด็นที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กหลายแห่งต้องพึ่งพาเครดิตส่วนตัวหรือผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงินในการช่วยเหลือด้านการเงิน ซึ่งไม่ใช่แนวทางที่เหมาะสมในแง่ของการเติบโตทางธุรกิจที่อย่างยั่งยืน Pay & Split ของมาสเตอร์การ์ดจะช่วยให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กมีโอกาสด้านเครดิต ซึ่งโดยปกติผู้ประกอบการเหล่านี้จะไม่มีคุณสมบัติเข้าข่ายยื่นขอเครดิตการ์ดเพื่อธุรกิจในแบบปกติหรือการกู้ยืมระยะยาว แต่ก็ยังจำเป็นต้องมีเงินทุนทำธุรกิจเพื่อให้อยู่รอดหรือเพื่อขยายกิจการ Pay & Split ยังเปิดโอกาสให้ธุรกิจสร้างเครดิตเรทติ้งที่ดีขึ้นซึ่งจะช่วยให้สามารถขอผลิตภัณฑ์เครดิตที่ดีเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น”

สถาบันการเงินจะสามารถใช้ Pay & Split ของมาสเตอร์การ์ดได้อย่างง่ายดายด้วยขั้นตอนการออกบัตรที่มีอยู่หรือปรึกษากับทีมงานของมาสเตอร์การ์ดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ด้านการผ่อนชำระมาสเตอร์การ์ด ขณะนี้รหัสใหม่สำหรับผลิตภัณฑ์เพื่อธุรกิจใหม่พร้อมแล้วสำหรับธนาคารผู้ออกบัตรแก่ธุรกิจ SME ทั่วเอเชียแปซิฟิก ทำให้ธนาคารสามารถสนับสนุนโปรแกรมบัตรเพื่อธุรกิจที่ช่วยแบ่งการจ่ายออกเป็นงวดๆ ตามที่ทางธนาคารจะกำหนด