เทรนด์ผู้บริโภคใส่ใจสิ่งแวดล้อมตัวเร่ง “เอกา โกลบอล” เดินหน้าเต็มสูบสู่ผู้นำนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก

ส่องผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ เน้นความสะอาดปลอดภัยและใส่ใจสิ่งแวดล้อมมาแรง ‘เอกา โกลบอล’  ตอกย้ำผู้นำเทรนด์บรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร เร่งเครื่องยกระดับอย่างเข้มข้นสู่องค์กรเศรษฐกิจหมุนเวียน 360 องศา ขานรับเทรนด์รักษ์โลก ลุย “กรีนโปรดักส์” เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ตั้งเป้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใน 1-3 ปี จากการขยายกำลังการผลิตที่โรงงานไทยอีก 15% และตั้งโรงงานใหม่ที่อินเดีย 1 แห่ง กำลังการผลิตสูงสุดกว่า 2,850  ล้านชิ้นต่อปี คาดหวังโควิด-19 คลี่คลาย จ่อลุยแผนโรดโชว์ 4 ภูมิภาค ช่วยเหลือเอสเอ็มอีไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อม ๆ กัน

นายชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL) ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) เปิดเผยว่า ผลการศึกษามุมมองและพฤติกรรมของผู้บริโภคทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย พบว่า ปี 2565 ผู้บริโภคทั่วโลกและประเทศไทย ยังคงมุ่งเน้นความสะอาดและความปลอดภัยของสินค้ามาเป็นอันดับต้น ๆ มีผลมาจากการที่ผู้คนต้องเผชิญกับวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นต้องหันมาใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถรักษาคุณภาพอาหาร คงรสชาติ และมีความปลอดภัยสูงมากยิ่งขึ้น

ขณะที่เทรนด์ “รักษ์สิ่งแวดล้อม” จะเป็นเทรนด์อนาคตบรรจุภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน ซึ่งในปีนี้จะได้เห็นความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น และมองว่าในอนาคตอันใกล้เทรนด์รักษ์โลกจะกลายเป็นภาคบังคับที่ทุก ๆ ธุรกิจจำเป็นจะต้องดำเนินการ เพราะผู้บริโภคทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศไทย หันมาให้ความสำคัญและใส่ใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนเพิ่มขึ้น โดยผลสำรวจเผยว่าผู้บริโภคเต็มใจจ่ายสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นในราคาสูงกว่าปกติถึง 20% และกว่า 68% ของผู้บริโภค จะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สามารถย่อยสลายได้ง่าย เป็นต้น

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ในทิศทางเดียวกัน “เอกา โกลบอล” กำหนดแผนธุรกิจจะมุ่งเน้นความสำคัญกับการเป็นองค์กรอนาคตนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์แห่งความยั่งยืน โดยนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาผนวกเป็นกลยุทธ์สำคัญขององค์กรอย่างรอบด้าน 360 องศา อย่างจริงจัง และเพิ่มระดับความเข้มข้นยิ่งขึ้น ทั้งในการทำงานร่วมกับคู่ค้าธุรกิจ และทุก ๆ ภาคส่วน รวมถึงคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มุ่งเน้นเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนมากขึ้น จากเดิมที่บรรจุภัณฑ์ “เอกา โกลบอล” สามารถนำมารีไซเคิลได้ 100% ทั้งนี้ บริษัทฯ กำหนด “กรีนโปรดักส์” เป็นโรดแมปธุรกิจ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนาใน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1) บรรจุภัณฑ์ Bioplastic (PLA) ที่ผลิตจากวัตถุดิบส่วนหนึ่งที่มาจากธรรมชาติ เช่น มันสัมปะหลัง ข้าวโพด หรือ อ้อย เป็นต้น 2) บรรจุภัณฑ์ Biodegradable ที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติทั้งหมด และสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ 3) บรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิล (PCR) หรือ เรซิน รีไซเคิล ฯลฯ ซึ่งตั้งเป้าหมายจะได้เห็นอย่างน้อย 1 ผลิตภัณฑ์ ภายในระยะ 1-3 ปีนี้ พร้อมกันนั้น บริษัทฯ จะพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้สามารถยืดอายุอาหาร (Shelf life) โดยไม่ต้องแช่เย็น ได้นานยิ่งขึ้นจากเดิมสามารถยืดอายุอาหารได้นานสูงสุด 2 ปี เป็น 3-5 ปี

สำหรับ เป้าหมายการเติบโตในปี 2565 คาดว่ายอดขายของบริษัทฯ จะเพิ่มสูงขึ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 30-35% ต่อปี หรือ มียอดขายแตะระดับ 1,600-1,700 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลบวกจากเทรนด์ธุรกิจบรรจุภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทาน (Ready-To-Eat) และบรรจุภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Food) พรีเมียม ที่เห็นการเติบโตสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา สะท้อนจากยอดขายของบริษัทฯ ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด มียอดขายเต็มกำลังการผลิตสูงสุดกว่า 2,850 ล้านชิ้นต่อปี จนถึงเดือนมีนาคม 2565 แล้ว ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างเตรียมขยายกำลังการผลิตใหม่ที่โรงงานไทยอีก 15% นับเป็นไลน์การผลิต ลำดับที่ 11 จากปีก่อนที่ได้ขยายกำลังการผลิตใหม่ ลำดับที่ 10 กว่า 350 ล้านชิ้นต่อปี หรือ เพิ่มขึ้น 15% แล้ว โดยไลน์การผลิตใหม่ คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ ภายในช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้ พร้อมกับเร่งขยายการลงทุนในประเทศอินเดีย และตั้งโรงงานผลิต 1 แห่งในเมือง PUNE ด้วย

นายชัยวัฒน์ กล่าวปิดท้ายว่า บริษัทฯ ยังคงมีเจตนารมณ์มุ่งส่งเสริมศักยภาพและช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี (SME) ในประเทศไทย โดยผลักดันให้เอสเอ็มอีไทยเข้าถึงเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร “เอกา โกลบอล” และนวัตกรรมบรรจุแบบดัดแปรบรรยากาศ Modified Atmosphere Packaging Process หรือ MAP นำมาใช้และพัฒนาธุรกิจ เพื่อยกระดับธุรกิจเอสเอ็มอีไทยให้แข็งแกร่ง และส่งเสริมศักยภาพสามารถขับเคลื่อนเอสเอ็มอีไทยสู่การแข่งขันบนเวทีระดับโลกได้ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาสให้เอสเอ็มอีไทย สามารถขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศได้ ซึ่งหากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง เตรียมเดินหน้าโรดโชว์  ครอบคลุม 4 ภูมิภาค ทั้งภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคกลาง ในทันที