หัวเว่ย เปิดตัวพิมพ์เขียวธุรกิจนำร่
ทฤษฎีและสถาปัตยกรรมที่มีในปัจจุบัน ไม่สามารถรองรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของความต้องการด้านดิจิทัลได้
มีการคาดการณ์ว่าภายในปี พ.ศ. 2565 กว่า 50% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศทั่วโลก (GDP) จะมีที่มาจากเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเศรษฐกิจดิจิทัลระดับโลกที่พัฒนาอย่างรวดเร็วส่งผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลทะยานสูงขึ้นเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ นายกัว ผิง ประธานกรรมการบริหารแบบหมุนเวียนตามวาระของหัวเว่ย อธิบายว่าทฤษฎีของแชนนอน (Shannon’s theorem) และสถาปัตยกรรมฟอนนอยมันน์ (von Neumann architecture) ยังคงเผชิญกับการติดขัดปัญหาอย่างรุนแรงเรื่อยมา ภาคอุตสาหกรรมจึงจำเป็นต้องสำรวจทฤษฎีและสถาปัตยกรรมใหม่ๆ เพื่อปฏิรูปกระบวนทัศน์ทางเทคโนโลยีและสร้างความยั่งยืนเชิงดิจิทัล
หัวเว่ยยึดมั่นกับกรอบความคิดในการ “ทำให้เทคโนโลยีและธรรมชาติอยู่ร่วมกันได้” เสมอมา และยังคงลงทุนเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน เพิ่มการใช้พลังงานทดแทน ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน และอนุรักษ์ธรรมชาติผ่านเทคโนโลยีมาโดยตลอด ทั้งนี้ หัวเว่ยมีความมุ่งมั่นในการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์กำลัง (power electronics) เพื่อปฏิรูปการใช้พลังงาน เร่งขับเคลื่อนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจพลังงาน เสริมศักยภาพให้กับภาคอุตสาหกรรมต่างๆ และกลายเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยผลักดันการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ด้วยการสร้างการทำงานที่ผสานกันระหว่างเทคโนโลยีไอที (IT) และซีที (CT), คลาวด์และเอดจ์ รวมถึงคลาวด์และเครือข่าย หัวเว่ยหวังที่จะช่วยให้ผู้ให้บริการก้าวไปสู่ความเป็นดิจิทัลอย่างชาญฉลาด และประสบความสำเร็จในการเติบโตของรายได้ใหม่ๆ ตัวอย่างเช่น โซลูชัน OneStorage ของหัวเว่ยช่วยให้ผู้ประกอบการรายหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกลดต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของ (Total cost of ownership หรือ TCO) ได้มากถึง 30%
การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ส่งผลต่อศักยภาพระยะยาวของเศรษฐกิจดิจิทัล
ด้านนายกัว ผิง ประธานกรรมการบริหารแบบหมุนเวียนตามวาระของหัวเว่ย ได้กล่าวเกี่ยวกับประเด็นด้านความเป็นกลางทางคาร์บอนว่า “ความสามารถในการรองรับความหนาแน่นการเชื่อมต่อและพลังของการประมวลผลจะเป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจดิจิทัล แต่เราจำเป็นต้องคำนึงถึงศักยภาพในระยะยาวของเศรษฐกิจดิจิทัลด้วย เราจึงต้องเริ่มพิจารณาความเป็นไปได้ในมิติใหม่ๆ อย่างการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน”
ปัจจุบัน หัวเว่ยยึดมั่นตามกลยุทธ์ “บิตมากขึ้น วัตต์น้อยลง” ซึ่งนอกเหนือจากการปรับปรุงความสามารถด้านดิจิทัลขั้นพื้นฐานแล้ว ยังมุ่งมั่นที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 2.7 เท่า ด้วยการพัฒนาจนมีความก้าวหน้าในด้านต่างๆ เช่น ด้านทฤษฎี ด้านวัสดุ และด้านอัลกอริธึม ผลิตภัณฑ์ Massive MIMO รุ่นที่สามของหัวเว่ย ซึ่งใช้เทคโนโลยีเสาส่งสัญญาณพร้อมกันหลายคลื่นอย่างเต็มที่ ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน พบว่าใช้พลังงานลดลง 30% เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ระดับเดียวกัน
ส่วนหนึ่งของความพยายามของหัวเว่ยในการสร้างโลกดิจิทัลที่มีความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น คือการเพิ่มการลงทุนในโซลูชันเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยใช้ประโยชน์จากการผลิตพลังงานสะอาด การขนส่งทางไฟฟ้า และการจัดเก็บพลังงานอัจฉริยะ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตามที่ นาย เจย์ เฉิน รองประธานบริษัทหัวเว่ย ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค กล่าวไว้ว่าต้องการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน และส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนที่จะมีส่วนช่วยให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ความก้าวหน้านี้จะทำให้อุตสาหกรรมไอซีทีสามารถช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ลดปริมาณก๊าซคาร์บอนที่ปล่อยออกมา หรือที่เรียกว่าฟุตพริ้นท์ลงได้
ในรัฐซาราวัก หนึ่งในรัฐที่ใหญ่ที่สุดของประเทศมาเลเซียซึ่งมีประชากรประมาณ 2.8 ล้านคน โซลูชันไมโครกริดอัจฉริยะของหัวเว่ยได้เข้าไปอำนวยความสะดวกให้กับชาวบ้านในพื้นที่ โดยได้รองรับการจ่ายไฟอย่างยั่งยืนให้กับชาวบ้านในท้องถิ่น ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนต้นแบบการใช้ไฟฟ้าในชนบท โซลูชันขั้นสูงนี้ประกอบด้วยระบบกักเก็บพลังงานและช่วยสนับสนุนการเข้าถึงเครื่องปั่นไฟดีเซล ช่วยจ่ายไฟฟ้าให้กับหมู่บ้านได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน และได้นานถึงสามวันในวันที่มีแสงแดดน้อย
“ความมุ่งมั่นของหัวเว่ยคือ “การดำรงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก” เรากำลังทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายและพันธมิตรจากทั่วโลก เพื่อสำรวจหาโซลูชันที่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น ช่วยให้ธุรกิจชาญฉลาดขึ้น และสังคมที่มีความเท่าเทียมกันมากขึ้น เรายังอยากแบ่งปันให้เห็นว่าเทคโนโลยีไอซีทีของเรากำลังช่วยให้โลกนี้เป็นสถานที่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนมากขึ้นได้อย่างไร ซึ่งเราทุกคนสามารถจุดประกายแห่งอนาคตร่วมกันได้” นายเจย์ เฉิน กล่าว
เพื่อสนับสนุนระบบนิเวศดิจิทัลในเอเชียแปซิฟิก ในปี 2564 หัวเว่ยได้ประกาศว่าจะลงทุนเป็นมูลค่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อพัฒนาผู้มีทักษะทางด้านดิจิทัลกว่า 500,000 คนสำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกภายในอีก 5 ปีข้างหน้า และลงทุนอีกกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐในระยะเวลาสามปี เพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศของสตาร์ทอัพในภูมิภาค
งาน MWC Barcelona 2022 เริ่มตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 3 มีนาคม ในเมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน โดยหัวเว่ยได้จัดแสดงผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่บูธ 1H50 ใน Fira Gran Via Hall 1 ร่วมกับผู้ให้บริการระดับโลก ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม และผู้นำทางความคิด มุ่งเน้นเจาะลึกในหัวข้อต่างๆ เช่น เทรนด์ของอุตสาหกรรม กลยุทธ์ GUIDE สู่อนาคต และการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อแสดงให้เห็นวิสัยทัศน์ถึงอนาคตของเครือข่ายดิจิทัล โดยสามารถดูรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://carrier.huawei.com/en/events/mwc2022