มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ทุ่มงบกว่า 3 พันล้านบาท เปิดตัวโรงงานพ่นสีแห่งใหม่ ที่แหลมฉบัง ชูนวัตกรรมเทคโนโลยีระดับชั้นนำของโลกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

บริษัทมิตซูบิชิมอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้ายกระดับศักยภาพการผลิตอย่างต่อเนื่องด้วยการเปิดตัวโรงงานพ่นสีระดับโลกแห่งใหม่ในแหลมฉบังจังหวัดชลบุรีโรงงานพ่นสีใหม่ล่าสุดนี้ ได้รับการออกแบบมาเพื่อส่งมอบงานพ่นสีรถยนต์ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าทั้งในตลาดรถยนต์ภายในและต่างประเทศ ด้วยการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีอันทันสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การเปิดโรงงานพ่นสีในครั้งนี้ ยังตอกย้ำความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการสนับสนุนเป้าหมายพันธกิจในการก้าวไปสู่การเป็นสังคมคาร์บอนสมดุลและความยั่งยืนของประเทศไทยควบคู่ไปกับการบรรลุวิสัยทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อมปี 2593 ของมิตซูบิชิมอเตอร์สคอร์ปอเรชั่นที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ส่งเสริมการนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่และป้องกันการเกิดมลพิษ

พิธีเปิดโรงงานพ่นสีในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม, มร. นะชิดะ คะสุยะ เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งญี่ปุ่นประจำราชอาณาจักรไทย, นายนิติวิวัฒน์ วานิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี, มร. ทาคาโอะ คาโตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น, มร.มิสึโนะริ คิตาโอะ เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูง สายงานผลิต บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์สคอร์ปอเรชั่น และ มร. เออิอิชิ โคอิโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด มาร่วมเป็นสักขีพยานในพิธี พร้อมทั้งเข้าเยี่ยมชมโรงงานพ่นสีแห่งใหม่

โรงงานพ่นสีที่แหลมฉบังนี้ ใช้เทคโนโลยีการพ่นสีอันทันสมัย เพื่อความมั่นใจในประสิทธิภาพสูงสุดของกระบวนการการพ่นสี โดยเฉพาะในบริเวณพื้นที่ที่มีความยากและซับซ้อนเช่น ระบบซีลตัวถังอัตโนมัติ (Sealer Automation) หุ่นยนต์ และปืนพ่นสีนำประจุไฟฟ้า (Electrostatic Spray Gun) ลูกค้าจะได้รับความพึงพอใจในคุณภาพสีชั้นเยี่ยมของรถยนต์มิตซูบิชิโรงงานพ่นสีแห่งใหม่ล่าสุดนี้ ได้รับการออกแบบอย่างดี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต ด้วยเป้าหมายของการลดมลพิษ ลดของเสียให้น้อยที่สุด ใช้ทรัพยากรอย่างเต็มประสิทธิภาพ และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านกระบวนการในการพ่นสีต่างๆ ได้แก่ ระบบตลับสี (Cartridge Paint System), ระบบเทคโนโลยีการบำบัดมลพิษในอากาศ (Regenerative Thermal Oxidation- RTO) และเทคโนโลยีสีฐานน้ำ (Waterborne) ในทุกๆ ขั้นตอนของการผลิต จะสามารถช่วยลดปริมาณการปล่อยสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย หรือ Volatile Organic Compounds (VoCs) สู่สภาพแวดล้อม ได้ถึง 50% ส่วนโรงงานบำบัดน้ำเสีย ช่วยในการน้ำกลับมาใช้ใหม่และลดการปล่อยน้ำเสียได้ถึง 50%

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสเปิดโรงงานพ่นสีแห่งใหม่ครั้งนี้ว่า “ผมเชื่อว่า ทุกคนเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของความยั่งยืน สำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิตนั้น การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมีความสำคัญอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม การเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจต้องเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เราต้องสร้างสมดุลในหลากหลายมิติที่ต่างกัน ด้วยเหตุผลดังกล่าว รัฐบาลไทยจึงขับเคลื่อนแนวทางเศรษฐกิจ บีซีจี โมเดล ซึ่งตั้งอยู่บนหลักการเศรษฐกิจระดับชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศโดยรัฐบาลปัจจุบันภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประกาศเป้าหมายระดับชาติเพื่อบรรลุเป้าหมายการเป็นสังคมคาร์บอนสมดุล (carbon neutrality) ภายในปีพ.ศ. 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero) ภายในปีพ.ศ. 2608 ด้วยเหตุผลนี้การลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ใช้พลังงานสะอาดในการขับเคลื่อนจึงถือเป็นปัจจัยสำคัญในการบรรลุเป้าหมายของรัฐบาลไทยประเทศไทยยินดีต้อนรับการลงทุนในอุตสาหกรรมสีเขียวและใช้พลังงานสะอาดกระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมให้การสนับสนุนและส่งเสริมภาคเอกชนในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มุ่งลดผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมโดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมไทยก้าวเข้าสู่การเป็นอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น”

โรงงานพ่นสีแห่งใหม่นี้ ช่วยให้มิตซูบิชิมอเตอร์สคอร์ปอเรชั่นขยับเข้าใกล้เป้าหมายในการขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนสมดุลที่ยั่งยืนทั่วโลกในอีก 30 ปีข้างหน้า ผ่านแผนปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อมที่ต้องการจะส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียน ตลอดจนลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจของบริษัทลงถึง 40%

มร. ทาคาโอะ คาโตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มิตซูบิชิมอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ที่ มิตซูบิชิ มอเตอร์สคอร์ปอเรชั่น เราไม่เพียงให้ความสำคัญกับการผลิตรถยนต์คุณภาพเยี่ยมระดับพรีเมียมเท่านั้นโรงงานพ่นสีแห่งใหม่นี้ ยังสอดคล้องกับแผนธุรกิจระยะกลางสำหรับปี พ.ศ.2563 – 2565 ของเราที่ให้ความสำคัญกับประเทศไทยและประเทศอื่นๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะตลาดยุทธศาสตร์สำคัญ ไม่เพียงแค่การขยายธุรกิจของบริษัทฯ ในระดับภูมิภาคและระดับโลกเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงการเปลี่ยนแปลงธุรกิจของเราไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนและเสริมสร้างศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่องให้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยและภูมิภาค”

ปัจจุบันโรงงานที่แหลมฉบังมีกำลังการผลิตมากกว่า 400,000 คันต่อปี โดยผลิตรถยนต์ทั้งหมด 5 รุ่นได้แก่ มิตซูบิชิไทรทัน, มิตซูบิชิ ปาเจโรสปอร์ต, มิตซูบิชิ มิราจ, มิตซูบิชิ แอททราจ และ มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี โดย มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี, ไทรทัน และปาเจโรสปอร์ต จะได้รับการพ่นสีในโรงงานพ่นสีแห่งใหม่นี้

มร. เออิอิชิ โคอิโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย กล่าวว่า “ในฐานะผู้ผลิตและผู้ส่งออกรถยนต์ชั้นนำของประเทศไทย เรามีความมุ่งมั่นในการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ที่พัฒนาขึ้นจากเทคโนโลยีของเรา มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีคุณภาพสูงเพียบพร้อมด้วยสมรรถนะความปลอดภัย และความสะดวกสบาย โรงงานพ่นสีแห่งใหม่นี้ ถือเป็นส่วนของศูนย์การผลิตรถยนต์ที่มีการลงทุนมากที่สุด โดยเราทุ่มงบประมาณกว่า 3 พันล้านบาท ในการก่อสร้างโรงงานพ่นสีแห่งนี้ ซึ่งเป็นแผนการลงทุนระยะยาวในการผลิตและจัดจำหน่ายยานยนต์ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพสีระดับโลก ในประเทศไทย ไม่เพียงเท่านั้น เรายังติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อเป็นแหล่งพลังงานทางเลือก มีกำลังผลิตไฟฟ้าที่ 2 เมกะวัตต์ หากรวมกับที่ติดตั้งไปแล้วก่อนหน้านี้ ที่โรงงานของเราอีกแห่ง จะสามารถลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึงปีละ 6,100 ตัน”

“นอกจากโรงงานพ่นสีแห่งใหม่แล้วมิตซูบิชิมอเตอร์สประเทศไทยจะยังคงเดินหน้าดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในประเทศรวมถึงพัฒนาโครงการที่สอดคล้องกับทิศทางความยั่งยืนของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ผ่านผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีสมรรถนะการขับขี่ดีเยี่ยมเช่นมิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี และการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่ศูนย์การผลิตรวมถึงโครงการเพื่อสังคมมากมาย เช่น โครงการ “ปลูกป่า 60 ปี 60 ไร่” และโครงการ “Solar for Lives:พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อชีวิตที่ดีกว่า”นายโคอิโตะกล่าวเสริม

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มีโรงงานทั้งหมด 5 แห่ง โดยในปัจจุบันมีพนักงานชาวไทยมากกว่า 6,200 คนทำงานอยู่ภายในศูนย์การผลิตฯ และมีอัตราการจ้างพนักงานกว่า 400,000 คน ตลอดทั่วทั้งห่วงโซ่คุณค่าการผลิตที่เกี่ยวข้องกับ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย