ลงทุนขุมทรัพย์ใหม่ในเมกะเทรนด์ Metaverse ให้จักรวาลนฤมิตร เนรมิตผลตอบแทนโลกอนาคต

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

อีกหนึ่งเมกะเทรนด์ที่เป็นกระแสมาแรงเหมือนไฟโหมโชติช่วงในเวลานี้ เรียกเสียงฮือฮาของนักลงทุนทั่วโลกหันมาส่องสปอตไลท์ นั่นก็คือ โลกเสมือนจริง ‘Metaverse’ หรือเรียกแบบไทยๆ ว่า ‘จักรวาลนฤมิตร’ เพราะเชื่อกันว่า จะเป็นพัฒนาการก้าวต่อไปของโลกอินเทอร์เน็ต หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทุกคนสงสัยคาใจว่า อนาคตของโลกอินเทอร์เน็ต คืออะไรกันแน่

วันนี้ ผมจะมาคุยเรื่องของ Metaverse ครับ เพราะเป็นคำที่ถูกพูดถึงแพร่สะพัดอย่างรวดเร็วเป็นวงกว้าง ทั้งกลุ่มนักลงทุน และธุรกิจต่างๆ ในช่วงเวลาไม่กี่เดือน หลังจากที่ปลายปีที่แล้วราวเดือนตุลาคม บริษัทเฟซบุ๊ก อิงค์ เจ้าของแพลตฟอร์มโซเซียลมีเดียเจ้าใหญ่ ประกาศรีแบรนด์ตัวเองเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ‘Meta Platforms’ ทำให้ผู้ใช้เฟซบุ๊กทั่วโลกต่างรู้จักศัพท์ Metaverse ของวงการธุรกิจเทคโนโลยี

Metaverse
Photo : Shutterstock

และยิ่ง ‘มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก’ ซีอีโอของเฟซบุ๊กในเวลานั้น ตั้งงบทุ่มหลายสิบล้านดอลลาร์ เพื่อมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจไปสู่แนวคิดของการเป็น ‘Metaverse’ ยิ่งส่งผลให้กลายเป็นคำที่ถูกค้นหาใน Google มากที่สุดในช่วงเวลานั้น

เพราะชาวโลกอยากรู้ว่า Metaverse (เมตาเวิร์ส) คืออะไร ทำอะไรได้บ้าง และหากลงทุนต้องทำอย่างไร

แรงส่งหุ้นเมตาเวิร์ส ถูกเลื่อนชั้นเป็นเมกะเทรนด์

โดยรวมๆ คนจะสรุปนิยามว่า เมตาเวิร์ส คือ โลกเสมือนจริงที่เชื่อมต่อระหว่างโลกความเป็นจริงที่คนอยู่กันทุกวันนี้ บ้างก็เรียกโลกกายภาพ กับโลกออนไลน์เข้าด้วยกันผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ที่สามารถประมวลผลแบบเรียลไทม์ 3 มิติได้ด้วยเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น Augmented Reality (AR), Virtual Reality (VR), Mixed Reality (MR) และล้ำไปจนถึง Extended Reality (XR) ที่โลกเสมือนและโลกความจริงมารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

จริงๆ แล้ว ผมขอเล่าที่มาที่ไปว่า เทคโนโลยีเมตาเวิร์ส เกิดขึ้นมานานตั้งแต่ปี 2535 จนวันนี้เข้าสู่ 3 ทศวรรษแล้วก็ว่าได้ เริ่มต้นมาจากนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง ‘Snow Crash’ ของนักเขียนชาวอเมริกันชื่อ ‘Neal Stephenson’ ที่ได้ฉายเรื่องราวเกี่ยวกับโลกแห่งอนาคตให้มนุษย์และคอมพิวเตอร์สามารถตอบโต้กันได้และอาศัยอยู่ในโลกเสมือนจริง เป็นพื้นที่ที่ผู้คนต่างหลบหนีจากโลกแห่งความเป็นจริงที่บิดเบี้ยว

นิยายเรื่องนี้ สร้างแรงบันดาลใจสู่เมกะเทรนด์เมตาเวิร์สในปัจจุบันนั่นเอง

Metaverse
Photo : Shutterstock

รอยเตอร์ส ได้เคยระบุว่า เมตาเวิร์ส เป็นคำที่กว้าง โดยทั่วไป หมายถึงการแบ่งปันสภาพแวดล้อมของโลกเสมือนจริงของผู้คนผ่านทางอินเทอร์เน็ต อีกทั้งยังหมายถึงพื้นที่ดิจิทัลที่ถูกสร้างให้เหมือนจริงมากยิ่งขึ้น โดยใช้เทคโนโลยี Virtual Reality (VR) หรือความเป็นจริงเสมือน มาผสานกับเทคโนโลยี Augmented Reality (AR) เชื่อมโลกแห่งความจริง

คำว่า ‘เมตาเวิร์ส’ ยังถูกนำมาใช้อธิบายโลกของเกมด้วยเหมือนกัน ผู้เล่นเกมสามารถบังคับตัวละครให้เดินไปรอบๆ และโต้ตอบกับผู้เล่นคนอื่นได้ นอกจากนี้ ยังมีการใช้เมตาเวิร์สเฉพาะกับเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ผู้ใช้งานสามารถครอบครองที่ดินเสมือนจริงและสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ได้ด้วยการใช้เงินสกุลดิจิทัลแทน

จะเห็นว่า แนวคิดของเมตาเวิร์ส คือ การสร้างพื้นที่ออนไลน์ใหม่ ผู้คนสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์ที่หลากหลายมิติมากยิ่งขึ้น ผู้ใช้งานสามารถดื่มด่ำไปกับโลกดิจิทัลที่มากกว่าการนั่งดูเท่านั้น ซึ่งจะตรงกับไลฟ์สไตล์ของเด็กรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับไอแพด สมาร์ทโฟนตั้งแต่รุ่น Gen Y จนถึง Alpha

Photo : Shutterstock

เมื่อผู้คนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี และโลกอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ผู้คนก็ต่างเข้ามาเติมแต่งโลกเมตาเวิร์สมากขึ้น จนขอบเขตคำจำกัดความของโลกเสมือนจริง ยิ่งขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ

จึงไม่แปลกที่บรรดาบริษัทต่างๆ มีการปรับตัวปรับทัพกันคึกคักเพื่อจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของก้าวที่ใหญ่ยิ่งในโลกเมตาเวิร์สและเป็นแรงส่งให้ ‘หุ้นเมตาเวิร์ส’ ถูกเลื่อนชั้นขึ้นมาเป็นเมกะเทรนด์แห่งอนาคตวงการเทคโนโลยีขั้นสุด

แรงส่งให้ “เมตาเวิร์ส” เติบโตได้ในระยะยาว

หากถามว่า แล้ว ‘เมตาเวิร์ส’จะเติบโตได้อย่างไรในระยะข้างหน้า 

อย่างแรก เมตาเวิร์สมีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในโลกแห่งความจริงหลายๆ อย่างให้ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างโลกเสมือนขึ้นมา เช่น ชิปประมวลผลกราฟิก บิ๊กดาต้า และระบบคลาวด์ รวมไปถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างบล็อกเชน คือ มองภาพจริงๆ มนุษย์เป็นผู้นำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้สร้างโลกใหม่อีกใบหนึ่ง ที่เรียกว่าโลกเสมือน ซึ่งคุณจะสามารถเข้าไปใช้ชีวิตผ่านโลกเสมือนจริงนี้ได้ ประหนึ่งว่าคุณกำลังมีชีวิตอยู่ในเกมที่คุณชื่นชอบนั่นเอง

คนที่เคยเล่นเกม The Sim จะรู้ว่า คุณสามารถสร้างตัวตนได้ในเกม ซื้อที่ดิน สร้างบ้าน มีอาชีพ มีเพื่อนอยู่ในโลกนั้น รวมไปถึงไอเท็มต่างๆ ในเกม ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า หน้าตา อาวุธ และแก็ดเจ็ตต่างๆ ที่เจ๋งๆ เอาไว้อวดข้างบ้านในเกม ผมว่าน่าจะพอเห็นภาพของการซื้อขายในโลกเกม ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจ สร้างระบบเศรษฐกิจตามมาแล้วนะครับ

Photo : Shutterstock

สิ่งที่เกิดต่อมา คือ เมื่อใช้เทคโนโลยีหลายๆ อย่างมาประกอบกันเชื่อมโลกความจริงเข้ากับโลกเสมือน ก็ทำให้ธุรกิจที่อยู่ใน Ecosystem (ระบบนิเวศ) ของเมตาเวิร์สนั้น มีจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทเทคโนโลยี ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และพัฒนาซอฟต์แวร์เป็นหลัก

นอกจากนี้จะเห็นการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของเมตาเวิร์ส เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้มูลค่าตลาดของเมตาเวิร์สเติบโต เช่น โครงข่าย 5G และ 6G สัญญาณ Wifi 6 ระบบประมวลผล AI หรือ Cybernetics เป็นต้น

Bloomberg Intelligence ประเมินว่า เมื่อปี 2563 มูลค่าของตลาดเมตาเวิร์สสูงถึง 478,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าภายใน 4 ปี จะเพิ่มขึ้นเป็น 783,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 คือ จะเห็นตลาดนี้เติบโตปีละ 13% ทีเดียว

อีกตลาดที่จะเติบโตตาม คือ โลกของสกุลเงินดิจิทัล โดย ‘Grayscale’ บริษัทยักษ์ใหญ่ในโลกของคริปโทเคอร์เรนซี มองว่า เทคโนโลยีโลกเสมือนจริงจะเป็นโอกาสเติบโตของการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล ที่อาจสร้างรายได้ต่อปีทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

Photo : Shutterstock

ในระยะข้างหน้า ทิศทางโลกเสมือนจริงของเมตาเวิร์ส สามารถพัฒนาไปได้ไกลถึงเทคโนโลยีบล็อกเชน เช่น แพลตฟอร์ม Decentraland ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถซื้อขายที่ดินในโลกดิจิทัล ด้วยเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี เพื่อใช้จัดกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานแสดงดนตรี ขายโฆษณา หรืองานศิลปะ

และหากมองเข้ามาในโลกแห่งความเป็นจริง แนวโน้มเทคโนโลยี ‘เมตาเวิร์ส’ จะสามารถถูกพัฒนานำมาใช้ในชีวิตจริง เช่น การผ่าตัดทางไกล การใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือในพื้นที่อันตราย หรือทดลองใช้สินค้าผ่าน AR เป็นต้น

ลงทุนหุ้นเมตาเวิร์ส เนรมิตผลตอบแทนโลกอนาคต

ผมมองว่า ภาพจิ๊กซอว์ที่มีธุรกิจต่างๆ เข้ามาเป็น Ecosystem ทั้งเชิงลึก และเชิงกว้าง โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีที่กำลังพัฒนาโลกเสมือนจริงในเมตาเวิร์ส มีอนาคตการเติบโตที่แรงดี หมุนรอบตามเมกะเทรนด์เมตาเวิร์สที่กำลังเข้าสู่วัฏจักรขาขึ้นไปอีกไม่ต่ำกว่า 5-10 ปี สร้างแรงดึงดูดให้นักลงทุนทั่วโลกพาเหรดลงทุนหุ้นเมตาเวิร์สกันคึกคัก

หนึ่งในกองทุน ETF ที่ได้รับความนิยมลงทุนมากที่สุดในบรรดา Metaverse ETF กลุ่มเดียวกัน คือ Roundhill Ball Metaverse ETF ที่มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร หรือ AUM มากถึง 757.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ณ 12 เมษายน 2565) ทั้งนี้ ETF นี้เพิ่งตั้งขึ้นเมื่อ 30 มิถุนายน 2564

Photo : Shutterstock

โดย Roundhill Ball Metaverse ETF ทำผลตอบแทนตามดัชนีอ้างอิง Ball Metaverse Index ครอบคลุมบริษัทเทคโนโลยีด้านต่างๆ ตั้งแต่การพัฒนาชิปประมวลผล เครือข่ายอินเทอร์เน็ต แพลตฟอร์ม มาตรฐานการเชื่อมต่อ ระบบการชำระเงิน สินทรัพย์ดิจิทัล คอนเทนต์ต่างๆ และฮาร์ดแวร์ทั้งหมด

โดยมีการลงทุนมากกว่า 45 บริษัทเทคโนโลยีมากกว่า 7 ประเทศทั่วโลก เช่น บริษัท Meta Platforms (Facebook), บริษัท Microsoft, บริษัท Nvidia, บริษัท Sea, บริษัท Amazon และบริษัท Apple ในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา, บริษัท Tencent ในตลาดหุ้นฮ่องกง, บริษัท Sony ในตลาดหุ้นญี่ปุ่น และบริษัท Samsung ในตลาดหุ้นเกาหลีใต้

ขณะที่ผลตอบแทนในช่วง 3 เดือนย้อนหลัง ปรับตัวลดลง 23.65% และผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ -22.42% สะท้อนให้เห็นว่า ราคาลดลงมากจนดูค่อนข้างนิ่งแล้ว ผมมองว่าถือเป็นโอกาสลงทุนธุรกิจแห่งอนาคตได้ในราคาที่ต่ำ สำหรับผู้ที่เชื่อมั่นเมกะเทรนด์ เมตาเวิร์ส คือ อนาคตใหม่ของโลกอินเทอร์เน็ต