เจาะเคล็ดลับ “อายตา” จากเด็กสลัมสู้ชีวิต สู่ “บิวตี้บล็อกเกอร์” สุดปัง

เปิดเบื้องหลังความปัง “อายตา” จากเด็กสลัมสู้ชีวิต สู่ “บิวตี้บล็อกเกอร์” สาวไทยหนึ่งเดียวที่ได้เฉิดฉายอยู่บนอินสตาแกรมแบรนด์ระดับโลก ก้าวข้ามทุกดรามาด้วยความจริงใจ ไม่สนคำดูถูก พิสูจน์ตัวเอง กว่าจะมีวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย!!

คนไทยหนึ่งเดียว ในแบรนด์โลก!!

ภาพสวมเครื่องหัวเทพี สาวผิวน้ำผึ้ง นี่คือคนไทยหนึ่งเดียวที่ทางแบรนด์เครื่องสำอาง R.E.M Beauty ของ ‘Ariana Grande’ นักร้องสุดฮอต ที่คว้ารางวัลในแวดวงดนตรีระดับโลก รีโพสต์ภาพแต่งหน้าคัฟเวอร์ลุคของเธอขึ้นบนอินสตาแกรมของแบรนด์ เรียกได้ว่าถือเป็นอีกหนึ่งจุดสูงสุดในชีวิตของเธอ

เธอคือ ‘อายตา-ศรสวรรค์ ใจมั่น’ บิวตี้บล็อกเกอร์ และ influencer ผู้มีผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้านคน ในวัย 30 ปี เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จบนโลกออนไลน์

นับเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับวงการบิวตี้ไทย วันนี้เธอจะมาเล่าถึงความภาคภูมิใจของความสำเร็จที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ พร้อมบอกเล่ากว่าจะมีวันนี้ได้ ต้องผ่านความยากลำบาก เพื่อให้ครอบครัวได้มีชีวิตสุขสบาย

eyeta

“เราดีใจ เราลงรูป ลงวิดีโออะไร แล้วเขาเห็นเราก็ดีใจแล้ว แต่พอเขาลงรูปนั้น รู้สึกปลาบปลิ้ม ปีติ ยินดี เพราะเขาเป็นแบรนด์ที่ไม่มีขายในไทยด้วยซ้ำ เราก็ไปดั้นด้นกระเสือกกระสนที่จะไปสั่งซื้อ ไปสั่งข้ามน้ำข้ามทะเลมาเอง ก็ดีใจที่เขามองเห็นค่ะ” เธอเผยถึงความรู้สึกด้วยความจริงใจ

แน่นอนว่าหลังจากถูกแบรนด์เครื่องสำอางของนักร้องระดับโลกขอนำรูปไปแชร์ ได้เกิดความสนใจเข้ามาอย่างถล่มทลาย บ้างให้ความสนใจไปในประเด็นฝีมือการแต่งหน้าที่สมจริง

“อายตาติดตามผลงานของ Ariana Grande อยู่แล้ว อาจจะไม่ได้เป็นแฟนคลับตัวยง แต่ก็ติดตามและชื่นชอบ พอเขาออกแบรนด์เราก็ติดตามว่าเขาจะวางขายเมื่อไหร่ ฉันจะกดซื้อ อย่างเมืองนอกเขาจะบอกเวลา ว่าเขาจะวางขายวันนี้ เวลาเท่านี้ เราต้องคอยกด เราต้องรอ F นะคะ ไม่อย่างนั้นของหมด เราก็เตรียมไว้เลย ว่ามันมีไอเท็มไหน เพราะเวลาเขาออก เขาไม่ได้ออกตัวเดียว มีหลายชิ้นหลายไอเท็ม มีสีไหน เราก็คิดไว้แล้วในใจ แล้วพอเมื่อเวลาเขาเปิดขาย เราก็สั่งซื้อ”

แล้วตอนที่อายตากดซื้อ อายตาก็คิดแล้วว่าอายตาจะแต่งลุคนี้ ลุคที่มีเครื่องหัวเทพี ที่เป็นเหมือนอะคริลิกใสๆ เพราะว่า Ariana เขามีแต่งลุคนี้ แต่จริงๆ เขามีแต่งหลายลุค เพื่อสำหรับโปรโมตเครื่องสำอางของเขา

กว่าจะได้ลุคสุดปังนี้ เรียกได้ว่าถูกรังสรรค์ขึ้นมาจากความตั้งใจเพื่อให้ได้ผลงานที่ดี เธอเปิดใจให้ฟังว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้รับรู้ว่ามีคนติดตาม และเป็นกำลังใจให้เธออย่างล้นหลาม

สยบดราม่า “ขอโทษที่หนูไม่ดัง”?!

“ขอโทษด้วยที่หนูไม่ดัง หนูก็อยากดังเหมือนกัน แต่หนูดังได้แค่นี้ หนูก็พยายามได้แค่นี้”

คำพูดข้างต้นแน่นอนว่าหากใครพอที่จะจำได้ กับเหตุการณ์รีวิวข้อดี-ข้อเสียเครื่องสำอางแบรนด์หนึ่งอย่างตรงไปตรงมา
ทว่า… ทันทีที่ตัดสินใจออกมาพูด ชีวิตก็กลับกลายจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะทั้งงานรีวิว งานแต่งหน้า วิ่งเข้าหาอย่างไม่ขาดสาย และถือเป็นอีกหนึ่งปีที่กราฟชีวิตของเธอมีความพลิกผันอย่างมาก จนถูกบางคนมองว่า เธอขายดรามา?!

อายตาได้ย้อนความรู้สึก คำพูดให้แก่ผู้สัมภาษณ์ได้รับทราบ เมื่อกลายเป็นที่สนใจบนโลกออนไลน์ ก็ย่อมมาพร้อมกับความคิดเห็นที่หลายหลากที่ไม่อาจเลี่ยงได้

เธอกล่าวย้ำด้วยว่า ไม่มีเจตนาในทางที่ไม่ดี ทุกคำพูดที่ได้กล่าวออกมานั้นล้วนผ่านความคิด และหลีกเลี่ยงดรามาต่างๆ ด้วยความจริงใจ

“บุคลิกอายตาเป็นคนพูดจาโผงผาง ซึ่งอายตารู้จุดด้อยของตัวเองดีว่า การที่อายตาพูดจาโผงผางบางคนอาจจะชอบ เราเป็นคนตรงๆ แต่บางคนอาจจะรู้สึกว่าดูไม่มีมารยาท อายตาเลยรู้สึกว่าอันนี้คือ จุดด้อย ที่เราไม่อยากให้คนเข้าใจผิดว่าเราไม่มีมารยาท หรือว่าเราเป็นคนพูดจาไม่ดี ก่อนที่จะโพสต์อะไร พิมพ์อะไร อายตาพยายามอย่างมากที่ไม่ให้เกิดดรามาอะไรที่มันเป็นจุดที่ Sensitive มากๆ อายตาก็จะปรึกษากับทีมก่อน มันก็เลยทำให้…ทำไมอายตาอยู่เกือบ 10 ปี ไม่มีกระแส ไม่มีดรามาเลย”

เรามองว่าถึงจุดประมาณไหนที่มันพูดได้ดี พูดแล้วคนไม่น่าจะเหม็นเรา อายตาจะตบท้ายด้วยว่า… อันนี้เป็นความคิดเห็นของอายตานะ ถ้าใครใช้แล้วดีหรือว่าไม่ดีบอกกันด้วยนะคะ

บุคลิกตรงไปตรงมา แต่ซื่อสัตย์ต่อคำพูดต่อตัวเอง ที่บิวตี้บล็อกเกอร์คนนี้ยึดหลักเอาไว้ในประจำวันเสมอ

โดยคอนเทนต์ที่ถ่ายทอดช่องทางยูทูบของอายตา ส่วนใหญ่คือเกี่ยวกับการแต่งหน้า ความสวยงามความงาม รีวิวเครื่องสำอางตรงไปตรงมา แม้จะมีสปอนเซอร์ก็ตาม พร้อมมอบพลังบวกให้คนที่ติดตาม จนทำให้รักในการดูแลตัวเองมากยิ่งขึ้น

และมักปรากฏกายอย่างมั่นใจในเสื้อผ้าหลากสไตล์ หรือจะเป็นชุดแนวเซ็กซี่ สายฝอ ทำเอาใครก็ตามที่ได้เห็นต่างพากันกดไลก์ให้รัวๆ

“ที่อายตาพูดว่าขอโทษว่าไม่ดัง อายตาไม่ได้กวนตีน แต่อายตาก็ไม่ได้มองว่าอายตาดังขนาดนั้น ถ้าลองเทียบกับคนไทย 74 ล้านคน เรามีคนติดตามแค่ 1 ล้าน มันแค่หยิบมือเอง เราก็พูดจริงๆ ไม่ได้ไปกวนตีน ถามว่าอันนี้รู้ไหม ต้องใช้แบบนั้น …รู้ แค่ qualified ตัวเองเฉยๆ ไม่ได้ออกมากวนตีนหรืออะไร ก็ไม่ได้อยากให้คนมาหาด่า”

รีวิวตรงๆ ไม่ขายวิญญาณ!!

“จุดยืนจริงๆ อายตาว่า อย่างคนที่ติดตาม หรือคนที่รู้จักอายตามาบ้าง เขาจะรู้ว่าเป็นคนเขียนอะไรตรงๆ ตลกๆ ให้มันดูมั่นๆ ให้มันดูโปกฮา จริงๆ อาจจะไม่ต้องไปบอกเขาหรอก เขารู้เดี๋ยวเขาก็มาดูคอนเทนต์เอง บางทีลงรูปอะไร เขียนข้อความเพ้อเจ้อ 18+ ให้ขำๆ

แต่ที่อยากบอกเลย แบรนด์สินค้า ว่าบางทีเขาคาดหวังให้เรารีวิว เขาไม่สามารถคาดหวังได้ว่าเราจะชอบสินค้าเขาได้ 100% และเขาไม่สามารถคาดหวังได้ว่า การที่เขามีเงินและมาสปอนเซอร์เรา เราจะต้องพูดเป็นหุ่นเชิด เป็นตุ๊กตาให้เขา เรามีสิทธิ์ที่จะชอบหรือไม่ชอบ

ในฐานะที่อายตาทำงานตรงนี้มา มันมีเยอะมาก ที่มีสินค้าที่เขาอยากจะจ้าง แต่เราไม่ชอบ อายตาก็ไม่รับ เราก็ไม่ได้มาพูด อย่างสินค้าสปอนเซอร์ เราก็เผยแพร่ คนดูก็จะรู้ว่าอายตารีวิวอะไรบ้าง แต่อันไหนที่ไม่ได้รีวิว และไม่ได้รับ เราไม่ได้มานั่งพูด มานั่งบอก เขาอาจจะมองว่าอายตารีวิวเยอะ แต่จริงๆ อันที่ไม่ได้รับรีวิวก็เยอะค่ะ

อันที่ใช้ไม่ค่อยโดนก็เยอะค่ะ เพราะฉะนั้นไม่อยากให้คนรู้สึกว่า influencer มีสปอนเซอร์ จะต้องชม จะต้องอวย…อ๋อ ไม่ค่ะ อันที่ชม ที่อวย คือผ่านการคิด การใช้มาแล้วว่าอันนี้ควรจะชม เพราะใช้ดีจริงๆ แต่อันไหนที่รู้สึกว่าหนักปาก ไม่กล้าพูด เดี๋ยวคนเขาด่า ก็ไม่รับแค่นั้น

เพราะว่าอายตารู้สึกว่า คนสมัยนี้ควรรับรู้ในจุดจุดนี้มากขึ้น ไม่ได้หมายความว่าจะไปปิดตา ปิดหูของเขา เราก็มีจุดยืนของเรา ไม่ใช่ว่ามีเงินมาจะให้จ้าง เราไม่ขนาดนั้น เราไม่ขายวิญญาณค่ะ”

ไม่เกี่ยว! ด่าก่อน ตบคำชม

“ถามว่าสไตล์รีวิวอายตามันก็ไม่ใช่เชิงเป็นสไตล์หรอก คืออายตาเป็นคนพูดตรงๆ โดยนิสัย คือมันไม่ใช่สไตล์ฉันจะต้องเป็นแบบนี้ๆ เข้าแพลตฟอร์ม เข้าอินโทรวินาทีนี้ แล้วก็ต่อด้วยไฮไลต์วินาทีนี้ ไม่ได้เป็นแบบนั้น เราก็พูดตามตรง พูดไปเรื่อยแล้วแต่ที่เราชอบ

ตามประสบการณ์ ทำวิดีโอมากว่า 1,000 วิดีโอแล้ว เข้าไปดูในช่องได้ อายตาไม่มีแพลตฟอร์ม ถ้าอันไหนที่อายตาคือชมเลย ไม่มีด่าก็มี ไม่ว่าจะเป็นสปอนเซอร์ หรือไม่สปอนเซอร์ ไม่เกี่ยวเลย ถ้าชอบมาก ชมมาก ถ้ามีข้อติ ก็ติ ถ้ามีข้อติเยอะก็ติเยอะ”

มีเหมือนกันที่บางคนเขาไม่ชอบสไตล์การพูดของเรา ดูห้วนๆ ไม่ค่อยลื่นหู ซึ่งอายตาเข้าใจ เพราะคนเรามีบุคลิกที่ต่างกันมาก แล้วเราจะไปคาดหวังให้เขาจู่ๆ มารักเรา จู่ๆ มาชอบเรา เป็นไปไม่ได้เลย

แล้วเขาอาจจะคาดหวังให้อายตามาเปลี่ยน อายตาก็คงทำได้ไม่กี่วิดีโอ แล้วอายตาก็กลับมาเป็นตัวเอง ให้เขาด่าทำไมว่า จะตอแหลทำไม จะเปลี่ยนตัวเองทำไม เพราะฉะนั้นอายตาก็รู้สึกว่า เป็นแบบนี้แหละ เพราะสไตล์ของเรา ก็แล้วแต่ว่าเราจะรู้สึกยังไง เราก็พูดไปแบบนั้น

แล้วไม่ได้เกี่ยวเลยว่าต้องเป็นด่าก่อนชม ถ้าตอนนี้มันนึกชมได้ ก็พูด แต่ถ้าตอนนี้มันนึกข้อด่าได้ ก็พูดออกมา และไม่ได้เกี่ยวเลยว่าเขาจะต้องจ่ายเงินหรือไม่จ่ายเงิน”

สลัดชีวิตติดลบ-เด็กส่งยา สู่เสาหลักครอบครัว

อาจเพราะบุคลิกที่ดูร่าเริงและมั่นใจ หลายคนจึงอาจไม่รู้มาก่อนว่ากว่าอายตาจะประสบความสำเร็จนั้น ไม่ง่าย…

ในวันนี้หลายคนรู้จักอายตาในฐานะยูทูบเบอร์สาวสวยอารมณ์ดี ที่ส่งมอบความสุขให้ผู้ชมเสมอ แต่เบื้องหลังรอยยิ้มของเธอนั้น ใครจะรู้ล่ะว่าเต็มไปด้วยทัศนคติที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคในชีวิต โดยในครั้งนี้เธอได้เปิดเผยเรื่องราวชีวิตที่ยากลำบากในวัยเด็ก พร้อมส่งแรงบันดาลใจชีวิต

“ตั้งแต่จำความได้ ตอนประถม อายตาอยู่สลัมย่านแถวพระโขนงกับแม่ กับพี่สาว ตอนนั้นก็ยังมีพ่ออยู่ แต่ว่าพอหลังๆ มา พ่อกับแม่เขาหย่ากัน ก็อยู่กับแม่มาโดยตลอด

ตอนนั้นอยู่สลัม ตอนเด็กๆ เราก็ไม่รู้หรอกความจนมันเป็นยังไง เพราะเราอยู่โลกแคบๆ เราไปเนิร์สเซอรีเราก็ไปในสลัม ไม่ได้ออกไปไหนเลย ไปโรงเรียนประถมก็ไปโรงเรียนเล็กๆ แล้วพอเราโต เราได้เข้ามหาวิทยาลัย เราก็เลยรู้สึกว่า เฮ้ย! ไอ้สิ่งที่กูเป็น มันคือความจน มันคือความลำบาก”

เด็กน้อยที่อาศัยอยู่ในสลัมบ้านไม้สังกะสีเล็กๆ หนักหนาถึงกับเคยไม่มีข้าวกิน ได้เล่าถึงความยากลำบาก ทั้งปัญหาเรื่องครอบครัว ความยากจน แม่มีอาชีพเป็นแม่บ้าน ต้องรับหน้าที่ดูแล หาเงิน อายตา และพี่สาว บางครั้งในช่วงที่แม่ไปทำงาน ต้องอาศัยอยู่กับข้างบ้าน จนเกือบพลาดเข้าใกล้วงจรยาเสพติด

“มีแม่เป็นโรล โมเดลเลย เขาขยันมาก เขาอดทนมาก เรารู้สึกว่าเขาทำงานแค่คนเดียว ไม่ได้มีการศึกษา เป็นแค่แม่บ้านทำความสะอาดบ้านคนรวย เขายังเลี้ยงลูก 2 คนจบปริญญามาได้ เราแค่เรียนให้จบ แล้วทำงานดูแลตัวเองให้ได้ เราไม่เคยมองว่ามันทำไม่ได้เลย

มองแค่ว่าถ้ามันยังทำไม่ได้ ถ้ามันยังไม่ถึงเรา เราอาจจะยังพยายามไม่พอรึเปล่า มันอาจจะไวเกินไปสำหรับเรารึเปล่า พยายามต่อไปๆ เดี๋ยวมันได้ค่ะ

ไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ มันก็บ้างตามวัยเด็ก แต่ก็รู้สึกว่า ให้ทำไง ก็มันจน ฉันรวยกว่านี้มากไม่ได้แล้ว เพราะว่าแม่อายตาก็เป็นคนขยันเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะขยันได้แล้ว และเขาก็ไม่มีการศึกษา

เขาทำงานทุกวัน ไม่มีวันหยุด เราก็รู้สึกว่า แม่ก็ทำเต็มที่ สิ่งที่เราได้ คือความตั้งใจเรียน ถ้าเป็นอายตาตอนนั้นมองว่า เซ็งว่ะ อยากมีครอบครัวที่ดีกว่านี้ แต่ถ้ามองตอนนี้ คือบางทีเราเลือกเกิดไม่ได้ เราเลือกได้ เราก็อยากเลือกครอบครัวที่มีเงิน

สิ่งที่เราทำได้ คือตั้งใจเรียน แต่โชคดีตอนที่เรียน อายตาก็มีได้ทุนการศึกษาบ้าง มันเหมือนได้มาช่วยแม่ แล้วโชคดีมากๆ ที่ได้โครงการช้างเผือก เป็นเหมือนโควตาของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อายตามองว่า หลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง ถึงแม้ว่ามันจะลำบาก มันจะยากจน แต่ถ้าเราใฝ่ดี ใฝ่เรียน แล้วเรามีจุดมุ่งมั่น จุดมุ่งหมายของเรา

จำได้ว่าตอนที่อายตากำลังจะเข้ามัธยม อายตาอยากเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการมาก แล้วเหมือนทะเบียนบ้านอยู่ในแวดวงที่เขาให้ไปจับฉลากเข้าได้ พอไปจับฉลากปุ๊บไม่ได้ เดินลงมาจากที่จับฉลากร้องไห้กับแม่ แม่ก็ปลอบไม่เป็นไร

ตอนนั้นคิดในใจ ว่าอยากเรียนที่นี่มาก เพราะโรงเรียนที่นี่มันโรงเรียนดี หนูอยากได้เรียนที่ดีๆ หนูอยากมีเพื่อนดีๆ หนูอยากมีสังคมดีๆ หนูไม่อยากอยู่สลัมที่บ้านแล้ว

เพราะว่าตอนนั้นมีตัวเลือกแค่ว่า ถ้าตรงนี้ไม่ได้ ต้องเรียนโรงเรียนใกล้บ้าน ที่เป็นโรงเรียนที่ชื่อเสียงไม่ดีมากนัก แล้วเรารู้ว่า เราไม่ได้เป็นคนที่เรียนเก่ง ถ้าเรียนที่นั่น คิดในใจเราต้องท้องแน่เลย ไม่ได้บอกว่าคนท้องมีผัวไม่ดีนะ แต่เรารู้ตัวเองเราไม่ได้เป็นคนเรียนเก่ง ไม่ได้มุ่งมั่นการเรียนขนาดนั้น แต่เราแค่อยากเป็นคนที่มีชีวิตที่ดีขึ้น”

จากเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่สู้ดิ้นรน ถีบตัวเองเพื่อให้ตัวเองและครอบครัวมีชีวิตที่ดี แม้จะเหนื่อยแต่เธอก็ไม่เคยยอมแพ้ต่อความจนเลย

“อายตามองว่าในทุกความยากลำบาก มันอาจจะมี factor ที่อาจจะไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะรู้สึกว่า ก็แน่สิ คุณพูดได้ ก็เพราะคุณผ่านมาแล้ว แต่บางคนผ่านไม่ได้ หรือว่าฉันลำบากกว่าคุณเยอะ แต่อายตามองว่าความขยัน และความอดทน ความมีวินัย ความสม่ำเสมอในความขยันสำคัญมากๆ

อยากให้ keep ไฟนั้นในใจ อยากทำให้ไฟนั้นคงอยู่ในใจได้นานๆ หาอะไรที่เป็นเป้าหมายในชีวิต หาอะไรที่เป็น goal ในชีวิต อย่างอายตาไม่ได้อยากเป็นคนที่ดังที่สุด ไม่ได้อยากเป็นคนที่รวยที่สุด ไม่ได้อยากจะซื้อของแบรนด์เนม แต่อายตาแค่อยากมีชีวิตที่ดีขึ้นจากแต่ก่อน แต่ก่อนไปไหน อยากกินขนมไม่ได้กิน เพราะแม่ซื้อให้ไม่ได้”

ไม่ต้องสวย แต่ต้องเป็นตัวเองถึงอยู่ได้ยาว!!

ตามประสาของเด็กวัยรุ่นทั่วไป ที่พอโตขึ้น ก็จะเริ่มรู้สึกรักสวยรักงาม เมื่อร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลง ก็มักจะมีเรื่องให้กลัดกลุ้มใจหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “สิว” ที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทของวัยรุ่น หรือ “เส้นผม” ที่อาจจะไม่ได้ยืดตรงสวยงามตาม ‘beauty standard’ แต่นั่นก็กลายเป็น จุดเริ่มต้น ที่เป็นกูรูเรื่องความสวยความงามมาจนถึงทุกวันนี้

“ถ้ามองว่าอะไรที่ทำให้ชอบการแต่งหน้า อาจจะตอนเด็กๆ ช่วง ม.ต้น-ม.ปลาย อายตาเป็นลูกเป็ดขี้เหร่มาก หัวก็ฟู เป็นคนผมหยักศก สมัยก่อนหัวฟูไม่ได้ ต้องไปยืด หน้าก็เป็นสิว ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่ามีอาการแพ้น้ำที่บ้าน

เป็นสิวจนไม่มีที่ว่างที่หน้า เพื่อนก็ล้อนิดหนึ่ง อาจจะไม่ได้ล้อให้เป็นปมด้อย แต่พูดว่าอายวันนี้หน้าเฟะเลยนะมึง แต่มันก็คิดเหมือนกัน เพราะเราเป็นเด็กผู้หญิง เราก็อยากน่ารักเหมือนเพื่อนคนนั้นที่น่ารักจังเลย เขาได้เป็นลีด แต่เราเป็นอะไร เราเป็นตัวตลกให้เขาขำ

เราก็เหมือนอยากสวยตามประสาเด็กหญิงทั่วไป แล้วประกอบกับตอน ม.ต้น และ ม.ปลายเป็นสิวเยอะมาก จนส่องกระจกดูหน้าตัวเองร้องไห้นะ มันไม่หายสักที หัวก็ฟู ตัวก็ดำ สิวก็เต็ม ไปโรงเรียนก็ไม่ได้เป็นคนน่ารัก เป็น nobody

คือเด็กทุกคน อายตามองว่าอยากเป็น someone สำหรับบางคน แล้วพอขึ้นมหาวิทยาลัยปุ๊บ จู่ๆ มันดีขึ้น เพราะว่าเพิ่งรู้ว่าสิวที่เป็นเพราะแพ้น้ำประปาที่บ้าน พอเราขึ้นมหาวิทยาลัย เราไปอยู่หอ จู่ๆ มันดีขึ้น ไม่ได้หายหรอก รอยสิวมันก็ยังมี แต่มันดีขึ้น

พอมันดีขึ้นทำให้เรารู้สึกว่า ฉันเห็นทางสว่างแล้ว เหมือนเราเห็นแสงสว่างตรงปลายอุโมงค์ว่า ฉันก็สามารถหน้าดีได้ ฉันไม่จำเป็นต้องเป็นอีอายหน้าเฟะอีกต่อไปแล้ว”

หลายคนอาจจะมองว่าต้องสวยเท่านั้น ถึงจะเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ได้ แต่เธอกลับมองว่า หน้าตาไม่ได้สำคัญ แค่กล้าที่จะลงมือทำ และเป็นตัวของตัวเอง และรักในสิ่งที่ทำเท่านั้นเอง

“อย่าไปบอกว่า หน้าแบบนี้จะไปเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ อ้าว! แล้วปากแบบนี้เป็นคนได้ยังไง ไม่ได้นะ คุณจะไปหาพูดแบบนี้ไม่ได้ ทุกคนอยากสวยค่ะ เขาสวยพอเท่าที่เขาทำได้ เท่าที่เขาแต่งได้แล้ว

แต่การที่คุณไปพูดแบบนี้ไม่ถูกต้องเลย และอายตาอยากจะบอกว่าความสวยใครๆ ก็สวยได้ แต่ไม่ใช่คนที่สวยที่สุดเป็นคนที่ปังที่สุด เพราะว่าบางทีเวลาที่คนจะติดตามใคร ความสวยอาจจะเป็นประตูบานแรกที่ทำให้สนใจ เข้าไปดูคอนเทนต์ต่อ

คำว่าสวยหรือไม่สวย ไม่ได้บ่งบอกเลยว่าคุณจะเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ได้หรือไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำให้คุณเป็นได้หรือไม่ได้ คือ คุณรักงานตรงนี้รึเปล่า สวยมากแค่ไหน แต่คุณไม่ได้ชอบงาน beauty คุณก็อาจจะทำไม่ได้ก็ได้ค่ะ”

ทุกวันนี้มีช่องยูทูบผุดออกมาให้ผู้ชมเลือกชมได้หลากหลายช่องมาก แต่อะไรกันที่ทำให้ช่อง “EYETA” ถูกพูดถึง และยังมีคนติดตามขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเธอก็เล่าว่าการเป็นตัวเองและจริงใจกับสิ่งที่ทำ ไม่หยุดสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้ตัวเอง คือเรื่องที่สำคัญ

“จริงๆ ณ ตอนนี้ อายตาก็ไม่ได้มองว่ามันมั่นคงขนาดนั้น แต่ถ้าถามว่าตอนนี้มันยังทำได้อยู่ไหม ก็ทำได้ อย่างที่เห็น คือมีบิวตี้บล็อกเกอร์ หรือ influencer เกิดขึ้นเยอะ แล้วอายตาก็ไม่ได้มองว่าเป็นคู่แข่ง เป็นอาชีพที่ใครๆ ก็สามารถทำได้ ก็แข่งกันที่คอนเทนต์ อย่างอายตาเจอ influencer ท่านอื่น เราก็เป็นเพื่อนกัน ไม่ได้มองว่า ฉันดังกว่าคนนั้น คนนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นงานที่ไม่มั่นคง

สุดท้ายอายตาก็มองว่า ความขยัน มันเป็นจุดที่จะบอกเรามากที่สุด เพราะว่าไม่ใช่ว่าเดือนนี้มีลูกค้าแบรนด์สปอนเซอร์น้อย ฉันก็เลยจะไม่ทำคอนเทนต์ และวิดีโอเลย ก็ไม่ค่ะ ไม่มีใครจ้างฉันก็ทำ

อายตามองว่าถ้าเราขยันทำคอนเทนต์เยอะๆ บางทีลูกค้าหรือว่าแบรนด์ไม่ได้รู้จัก แต่เราออกมาเยอะๆ เขาจะรู้ว่าอายตาทำคอนเทนต์แบบนี้ มันรีวิวของได้ ฉันมีของออกใหม่ ฉันก็ไปจ้างมันลงก็ได้”

Source