บริษัท สิงห์ เอสเตท โชว์รายได้ในไตรมาส 1 ปี 2565 จำนวน 3,008 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 130% จากช่วงเดียวกันของปี 2564 จากการเติบโตของรายได้ในทุกกลุ่มธุรกิจ ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังคงกดดันการประกอบการในหลายอุตสาหกรรม สะท้อนผลสำเร็จจากการมุ่งปรับโครงสร้างธุรกิจในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาโดยมุ่งเน้นกลยุทธ์กระจายการลงทุนเพื่อสร้างความหลากหลายใน 4 กลุ่มธุรกิจที่เชื่อมโยงกัน ซึ่งจะผลักดันให้รายได้ในปี 2565 เติบโตเกือบเท่าตัว สู่เป้าหมายนิวไฮของบริษัทฯ
การเพิ่มขึ้นของรายได้รวมมีสาเหตุหลักจากผลการดำเนินงานที่โดดเด่นของกลุ่มธุรกิจโรงแรม ซึ่งรายงานรายได้จากการขายและให้บริการที่ 1,690 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 3 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสของพอร์ตโรงแรมในสหราชอาณาจักร ตอกย้ำความสำเร็จชิ้นสำคัญจากการปรับพอร์ตโฟลิโอในปีที่ผ่านมา เสริมทัพด้วยความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องของโรงแรมทั้ง 2 แห่งในโครงการครอสโร้ด เฟส1 (CROSSROADS) สาธารณรัฐมัลดีฟส์ ที่มีอัตราการเข้าพักสูงกว่า70% ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังสามารถปรับอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวันขึ้นมากว่า 7% อยู่ที่ $449 ต่อห้องต่อคืน ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงที่สุดนับตั้งแต่เปิดให้บริการมา นอกจากนั้นแล้ว บริษัทฯ เริ่มเห็นแนวโน้มที่ดีขึ้นของโรงแรมในประเทศไทย และโรงแรม Outrigger ภายหลังการเริ่มเปิดประเทศ ส่งผลให้รายได้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 ของทั้ง 2 พอร์ตโฟลิโอนี้เติบโตขึ้น 28% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งส่งสัญญาณบวกต่อรายได้ในอนาคตที่จะเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด เมื่อทุกประเทศยกเลิกข้อจำกัดในการเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างชาติ และการให้บริการเส้นทางบินต่างๆ สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นปกติ
โครงการครอสโร้ด (CROSSROADS)
เช่นเดียวกับรายได้จากธุรกิจที่พักอาศัยในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 ที่เติบโตขึ้น 110% จากปีก่อนหน้าสู่จำนวน 1,024 ล้านบาท จากความสำเร็จในการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียม โครงการดิ เอส สิงห์ คอมเพล็กซ์ และดิ เอส อโศก สำหรับช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทฯ คาดการณ์ว่าการโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการบ้านแนวราบสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส จะเร่งตัวขึ้น หนุนด้วยการรับรู้รายได้จากบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ที่เราวางแผนจะเปิดตัวในช่วงกลางปี ซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตของรายได้ธุรกิจที่พักอาศัยให้เพิ่มขึ้น 50% ได้ในปี 2565 นี้
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ เปิดเผยว่า “สิงห์ เอสเตท ได้ตั้งเป้าเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยใหม่ในช่วง 3 ปีที่ระดับ 26,400 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวสูงสุดของบริษัทฯ และเพื่อให้สอดคล้องกับแผนการเปิดตัวที่ Aggressive เช่นนี้ เราวางงบลงทุนรวมตลอด 3 ปีที่กว่า 20,000 ล้านบาท โดยในปี 2565 บริษัทฯ มีแผนเปิดโครงการบ้านเดี่ยวซีรี่ย์ใหม่ในช่วงกลางปี เพื่อรุกตลาดแนวราบในทำเลที่กระจายตัวมากขึ้น และครอบคลุมระดับที่กว้างขึ้น ด้วยการ Step ราคาลงมาในแต่ละโครงการ ตั้งแต่ 100 ล้าน สู่ 10 ล้านบาทต่อยูนิต โดยเรามองว่าตลาดบ้านระดับ Upper to High Class ยังเหมาะสมกับความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ สำหรับโครงการแรกที่เราจะเปิดตัว ตั้งอยู่ในย่านพัฒนาการ ซึ่งมีมูลค่าโครงการราว 2,900 ล้านบาท”
ท่ามกลางความท้าทายของธุรกิจอาคารสำนักงาน แต่ด้วยศักยภาพของทำเลที่ตั้ง การบริหารจัดการพอร์ตลูกค้าให้สมดุลอย่างสม่ำเสมอ การปรับปรุงทรัพย์สินให้ทันสมัย ตลอดจนการนำเสนอโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เพื่อสอดรับกับความต้องการของผู้เช่าที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมาเราสามารถรักษาอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยโดยรวมได้ที่ระดับ 87% นอกจากนี้ สิงห์ เอสเตท ยังวางแผนให้เช่าระยะยาวอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกระดับพรีเมียมของบริษัทเพิ่มอีก 2-3 อาคาร ประกอบด้วย สิงห์ คอมเพล็กซ์ เอส เมโทร และพื้นที่ค้าปลีก ซันทาวเวอร์ส แก่กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท (“SPRIME”) เพื่อให้เป็นไปตามกลยุทธ์บริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ ที่จะมีการ Recycle capital สร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน รองรับการขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง และจะดันให้ SPRIME ขึ้นแท่นเบอร์ 1 กองทรัสต์ประเภทอาคารสำนักงาน
ด้านธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานในปี 2565 ซึ่งจะเป็นปีแรกในการรับรู้รายได้จากการขายและโอนที่ดิน หลังจากที่ได้มีการเข้าลงทุนและปรับพื้นที่และก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าโอนที่ดินในปีนี้ประมาณ 15% ของพื้นที่ขายในนิคมอุตสาหกรรมราว 992 ไร่ พร้อมรับรู้ผลประกอบการของโรงไฟฟ้า บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 1 จำกัด ซึ่งดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าประเภทพลังความร้อนร่วม ด้วยกำลังผลิต 123 เมกะวัตต์ เต็มปีเป็นครั้งแรก
ปีนี้จึงเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการสร้างซินเนอร์จีระหว่างทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ เชื่อมโยงโอกาส และการต่อยอดธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ เพื่อให้ สิงห์ เอสเตท ก้าวไปเป็นหนึ่งในผู้เล่นแถวหน้าของประเทศไทย พร้อมสร้างสรรค์โมเดลธุรกิจใหม่ร่วมกับพันธมิตรแขนงต่างๆ เพื่อเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืน มุ่งหน้าสู่การขยายตัวของรายได้เฉลี่ย 25% ต่อปีภายใน 5 ปีข้างหน้า – นางฐิติมา กล่าว