SNI กับเส้นทางความมุ่งมั่น ส่งเสริมสมุนไพรไทยสู่ระดับนานาชาติ ลั่น “ไทยไม่ดันไทยแล้วใครจะดันเรา”

SNI ลั่น “ไทยไม่ดันไทยแล้วใครจะดันเรา” มุ่งมั่น พัฒนาวิจัย พร้อมนำเสนอความเป็นเอกลักษณ์ของสมุนไพรไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ เชื่อคุณสมบัติ และเทคโนโลยีด้านการผลิตสร้างการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ปลื้มยอดรายได้รวมโตกว่า 170% จากปี 2562

รศ.ดร.พรรณวิภา กฤษฎาพงษ์ ประธานผู้บริหารกลุ่ม สเปเชี่ยลตี้ เนเชอรัล อินโนเวชั่น (SNI) กล่าวว่า “องค์กรของเรามุ่งมั่นทุ่มเทผลักดันสมุนไพรไทยให้เป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศ และระดับนานาชาติ ทั้งในด้านของผลิตภัณฑ์ และศักยภาพในการผลิต ในช่วงเริ่มต้นนั้นเป็นช่วงที่สมุนไพรยังไม่เป็นที่ยอมรับ ถูกจำกัดด้วยปัจจัยต่างๆ อาทิ ความพร้อมด้านมาตรฐาน ประสิทธิภาพ และศักยภาพด้านการผลิต ทำให้สมุนไพรไทยยังไม่เป็นที่นิยมทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ ดังนั้น ในการก่อตั้ง สเปเชี่ยลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ (SNPโรงงานสกัดสมุนไพรไทย จึงได้นำเอาองค์ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรไทยประกอบกับการใช้เทคโนโลยีจากต่างประเทศมาแก้ไขปัญหาข้างต้น  SNP จึงเป็นรายแรกที่ส่งเสริมให้มีการทำ Standardization หรือการควบคุมคุณภาพมาตรฐานในทุกล็อตการผลิต เพื่อให้สามารถกำหนดปริมาณสารสำคัญ หรือสารออกฤทธิ์ให้มีความสม่ำเสมอในทุกชุดของสมุนไพร”

รศ.ดร.พรรณวิภาให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำ Standardization ว่า ทำให้สามารถนำเอาสมุนไพรไทยไปใช้ประกอบในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้มากมาย เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสมุนไพรไทย (value added) และปลดล็อคสมุนไพรไทยสู่ความเป็นมาตรฐานสากล ซึ่งนอกจากการพัฒนามาตรฐานแล้ว ทางองค์กรยังมีการกระจายองค์ความรู้ไปสู่สาธารณชน และเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันนี้ SNP สามารถสกัด และควบคุมคุณภาพสมุนไพรได้กว่า 300 รายการ ซึ่งได้รับมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ก่อให้เกิดความนิยมเพิ่มขึ้น พร้อมตอบสนองความต้องการของตลาดโลก ตัวอย่างสารสกัด อาทิ สารสกัด ReiSHIELD สารสกัดมาตรฐานที่พัฒนามาจากเห็ด นิยมนำมาใช้เรื่องการเสริมภูมิคุ้มกัน และลดระดับน้ำตาลในเลือด   สารสกัด BluVlite ที่มีคุณสมบัติป้องกันรังสีอินฟราเรด และแสงสีฟ้าที่มาจากอุปกรณ์ดิจิทัล ซึ่งเป็นสารสกัดที่นิยมในประเทศเกาหลี ใช้ในผลิตภัณฑ์ความงามกลุ่มเวชสำอาง (cosmeceuticals) นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมายังมีการร่วมวิจัยกับศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติในการศึกษาสารสกัดกระชายดำ GuVnis เพื่อขึ้นทะเบียนในประเทศ และต่างประเทศอีกด้วย

รศ.ดร.พรรณวิภา กล่าวถึงการต่อยอดจากโรงงานสกัดสมุนไพรไปสู่บริษัทสเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น (SI) บริษัทผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ลูกค้าว่า “เราสามารถนำสารสกัดสมุนไพรประกอบกับสารอื่นๆ ผลิตออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด ซึ่งหากมองจากภายนอกบริษัทสเปเชียลตี้ อินโนเวชั่นเป็นเสมือนโรงงานผลิต แต่ในความเป็นจริงบริษัทสเปเชียลตี้ อินโนเวชั่นคือ ศูนย์วิจัยและพัฒนาขนาดย่อม ที่รวมเอานักวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง นักวิทยาศาสตร์อาหาร แพทย์แผนไทย และเภสัชกรเอาไว้ในที่เดียว เพื่อพัฒนา และประกอบสูตรเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้ลูกค้าที่ไว้วางใจองค์กรของเราได้รับสินค้าที่ได้มาตรฐาน และผ่านการพัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งสิ่งเหล่านี้บวกความต้องการของตลาดทำให้ผลประกอบการรวมของกลุ่มบริษัทสเปเชี่ยลตี้ เนเชอรัล อินโนเวชั่น (SNI) โตกว่า 170% จากปี 2562”

“ในยุคปัจจุบันที่คนไทยมุ่งมั่นพัฒนาเป็นไทยแลนด์ 4.0 ผลักดันเทคโนโลยีต่างๆ แต่เราตกหลุมพรางของการแข่งขันในตลาดโลกโดยพยายามไล่ตามกติกาที่ผู้อื่นเป็นผู้กำหนด พยายามสู้ในสิ่งที่ไม่ใช่ competitive advantage ของเรา การเชื่อมต่อถึงกันได้อย่างง่ายของทุกสิ่งจากทั่วทุกมุมโลกทำให้มีผลิตภัณฑ์ และบริการที่คล้ายคลึงกัน สิ่งที่องค์กรของเราตระหนักคือ เราต้องไม่พยายามที่จะเป็นใคร แต่เราควรเป็นตัวเรา ดึงความเป็นไทย ดึงเอกลักษณ์ และคุณสมบัติของสมุนไพรไทยให้เป็นที่ประจักษ์ ไทยต้องดันไทย ถึงเวลาแล้วที่เราต้องกำหนดกติกาขึ้นมาเอง และให้คนอื่นมาแข่งในกติกาของเราในรูปแบบของเรา” รศ.ดร.พรรณวิภา กล่าวทิ้งท้าย