โซเด็กซ์โซ่ บริษัทผู้นำระดับโลกด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยการบริการบริหารอาคารแบบครบวงจรจากประเทศฝรั่งเศส รู้สึกยินดีที่เมื่อปีนี้โซเด็กซ์โซ่โกลบอลติดอันดับให้เป็นหนึ่งในสถานที่ทำงานที่ดีที่สุดเพื่อความเท่าเทียมกันของพนักงานกลุ่ม LGBTQ+ ติดต่อกัน 15 ปีซ้อน โดยได้รับคะแนน 100% จากมูลนิธิรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (The Human Rights Campaign Foundation) ที่พิจารณาจากดัชนีความเท่าเทียมด้วยการวัดนโยบายขององค์กรและแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับความเท่าเทียมในสถานที่ทำงาน (Diversity, Equity and Inclusion: DEI)
คุณอาร์โนด์ เบียเลคกิ ประธานบริหารโซเด็กซ์โซ่ ประเทศไทย กล่าวว่า “สำหรับโซเด็กซ์โซ่ประเทศไทยได้มีนโยบายการปฏิบัติต่อกลุ่มความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) มาเป็นเวลานานด้วยเช่นกัน เพื่อตอกย้ำในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรและปลอดภัยในสถานที่ทำงาน โดยเรามุ่งมั่นที่จะขจัดการเลือกปฏิบัติในทุกรูปแบบ พร้อมทั้งสนับสนุนกลุ่ม LGBTQ+ เพื่อให้พวกเขารู้สึกได้ถึงเสรีภาพและมีโอกาสที่จะเติบโตในหน้าที่ได้อย่างเท่าเทียมกัน ทั้งนี้บริษัทฯ ได้ตั้งแคมเปญ Sodexo Speak Up EthicsLine เพื่อช่วยให้พนักงานและพันธมิตรทางธุรกิจของเรามีช่องทางในการสื่อสาร รายงานพฤติกรรม การเลือกปฏิบัติ หรือกิจกรรมที่ขัดต่อจรรยาบรรณของบริษัท รวมทั้งพนักงานกลุ่ม LGBTQ+ ของโซเด็กซ์โซ่ทุกประเทศที่ประสบปัญหายังสามารถใช้ Sodexo Supports Me สายด่วนสำหรับข้อมูลและการให้คำปรึกษาได้ทุกคน ที่สำคัญผู้ร้องเรียนสามารถมั่นใจได้ว่าข้อมูลและรายละเอียดเหล่านั้นจะถูกเก็บเป็นความลับ
นอกจากนี้โซเด็กซ์โซ่ยังได้จัดโครงการ “Sodexo Global Pride Network” เพื่อสนับสนุนการรวมเป็นสมาชิกของกลุ่ม LGBTQ+ โดยมีแนวคิดหลัก 3 ประการ ได้แก่ ตั้งกลุ่ม 18+ LGBTQ+ และเครือข่ายพันธมิตรเพื่อการยอมรับในความหลากหลายและความเท่าเทียมในความเป็นตัวตนของพนักงาน และตั้งแคมเปญเพื่อสร้างความตระหนัก โดยวันที่ 17 พฤษภาคมของทุก ปีโซเด็กซ์โซ่จัดเฉลิมฉลอง “วันสากลยุติความเกลียดกลัวคนรักเพศเดียวกัน คนข้ามเพศ และคนรักสองเพศ” (International Day Against Homophobia and Transphobia) โดยให้พนักงานทุกคนได้พูดคุยเกี่ยวกับความกังวลและแบ่งปันเรื่องราวต่างๆ ในการใช้ชีวิตในมุมมองของกลุ่มผู้หลากหลายทางเพศและโซเด็กซ์โซ่ทั่วโลกได้ปฏิบัติตามมาตรฐาน UN LGBTI ซึ่งก็คือการแก้ไขปัญหาการเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มหลากหลายทางเพศ
ในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 บริษัทฯ ต้องเผชิญกับภาวะทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันเราพบว่าพนักงานกลุ่ม LGBTQ+ บางคนได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในความคิดสร้างสรรค์และการมีส่วนร่วมเพื่อช่วยปรับแนวทางการทำงานจนได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี และถึงแม้ว่าเรายังอยู่ในช่วงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่เรายังคงปฏิบัติตามค่านิยมและนโยบายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้โซเด็กซ์โซ่เป็นสถานที่ทำงานที่น่าอยู่พร้อมกับเป็นชุมชนที่เป็นธรรมและเท่าเทียม และยังมีการฝึกอบรมให้กับพนักงานกว่า 300 คนเกี่ยวกับ “Spirits of Inclusion” ตั้งแต่ช่วงปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน”
คุณจตุพล แสงกุดเรือ (อาร์ตี้) ผู้จัดการส่วนงานบริการอาหาร ประจำหน่วยงานโรงพยาบาลกรุงเทพ สาขาภูเก็ต กล่าวว่า “ในอดีตการยอมรับของสังคมไทยทางด้านเพศสภาพเป็นไปได้ยากกว่าในปัจจุบัน แต่โดยส่วนตัวแล้วเราได้แสดงความเป็นตัวตนอย่างชัดเจนซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า LGBTQ+ ในปัจจุบันก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับและการเคารพเหมือนเช่นเพศชายและหญิง แต่ในขณะเดียวกันก็อาจจะมีบางสถานการณ์ที่ทั้งชายและหญิงแท้ก็อาจจะไม่ได้รับการเคารพที่เท่าเทียมเช่นกัน ทั้งนี้มองว่าขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของเราเป็นสำคัญ เช่นในที่ทำงานเราจะทำงานอย่างมีคุณภาพตรงไปตรงมามีความชัดเจน แต่หลังเลิกงานแล้วเราก็กลับมาเป็นตัวเองที่มีทั้งมิตรภาพและความเป็นกันเอง ซึ่งทำให้เราได้รับความเคารพจากเพื่อนร่วมงานโดยไม่สนใจว่าเราจะเป็นเพศใด ที่สำคัญเราโชคดีที่โซเด็กซ์โซ่ได้ให้การสนับสนุนทุกเพศ เคารพในความเป็นตัวตนของเรา เข้าใจและใส่ใจในความต้องการ เช่น พนักงานที่เป็นทอมก็สามารถสวมใส่กางเกงแทนกระโปรงได้ เราคิดว่าความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีทั้ง 2 ฝ่าย คือ ถ้าพนักงานมีความสุขและมีกำลังใจในการทำงาน ผลการทำงานก็ออกมาดีไปด้วย และสำหรับเพื่อนๆ กลุ่มชาว LGBTQ+ อยากให้เริ่มจากการเคารพตนเองและผู้อื่นก่อน แล้วเราจะได้รับสิ่งนั้นจากผู้คนรอบข้าง ทั้งจากในการใช้ชีวิตส่วนตัวและสังคมในที่ทำงาน ซึ่งจะสามารถส่งผลให้เราได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข”
คุณปภังกร วาทินอัครภมร (เป้) ผู้ช่วยผู้จัดการส่วนงานบริการอาหาร ประจำหน่วยงานโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า “เราเป็นคนที่เปิดเผยภาพลักษณ์และเพศสภาพในการเป็น LGBTQ+ อยู่แล้ว ซึ่งตรงนี้ก็ได้รับการยอมรับจากผู้ใหญ่ในบริษัทฯ รวมทั้งลูกค้าในโรงพยาบาลจากหลายๆ แห่งซึ่งทุกคนให้เกียรติและเคารพเรา สามารถทำงานได้อย่างมีความสุข เพราะเวลาไปทำงานหรือประชุมกับลูกค้าทุกคนไม่ได้มองที่เพศสภาพเรา แต่มองที่ตัวผลงานมากกว่าว่าเราสามารถทำงานและแก้ไขปัญหาให้เขาได้อย่างไร ส่วนในการทำงานกับโซเด็กซ์โซ่นั้นมีหน่วยงานหลากหลายสถานที่ซึ่งแต่ละที่ก็จะมีผู้บริหารในระดับสูงที่เป็นเพศชายหญิงและ LGBTQ+ ซึ่งก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทุกคนมีความเท่าเทียมกันและสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข โดยเฉพาะเราเองนั้นไม่มีความอึดอัดใจในเรื่องเพศสภาพจากเพื่อนร่วมงานเลยแต่กลับได้รับความเอ็นดูจากทุกคน มีความสนิทสนมให้คำปรึกษาและคำแนะนำกันอยู่เสมอ และสำหรับเพื่อนๆ กลุ่ม LGBTQ+ เราอยากให้ให้ภูมิใจในตัวเองก่อน จากนั้นเราก็จะแสดงออกในสิ่งที่ดีออกมาดังเช่นคำพูดที่ว่า “I Am What I Am” ไม่ต้องกลัวหรือกังวลว่าคนจะมองเราอย่างไรดังเช่นที่บริษัทฯ ก็ไม่มองว่าตนเป็นแบบนี้ แต่มองว่าตนมีความสามารถและให้โอกาสทำให้เรามีความภูมิใจในตัวเองมากๆ”