คุยกับ “เบิร์ท มานิตย์” จากนักแสดงวัยรุ่น ทนายความ ผันตัวสู่ “นักเทรดหุ้นฟูลไทม์”

พูดคุยล้วงลึกทุกมุมกับเบิร์ท มานิตย์ ศรายุทธิกรณ์หนึ่งในนักเทรดหุ้นรุ่นใหม่ วัย 37 ปี ยอมทิ้งงานประจำเงินเดือนเกือบแสน หันหน้าสู่กระดานหุ้นเต็มตัว เผยบทเรียนครั้งใหญ่ขาดทุนจากบิตคอยน์ครั้งแรก สูญเงิน 5-10 ล้านบาท!

ผันตัวจากนักแสดง ทนาย สู่นักเทรดหุ้นฟูลไทม์

หลายคนอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตาเบิร์ท มานิตย์ ศรายุทธิกรณ์กันมาบ้าง ในช่วงหนึ่งได้เคยแสดงเป็นพระเอกเอ็มวีเพื่อนสนิทของวงเอ็นโดรฟิน เรียกว่าเป็นเพลงดังแห่งยุค 90 เลยทีเดียว แม้จะสตาร์ทงานในวงการบันเทิงด้วยผลงานที่ดังเป็นพลุแตก แต่เบิร์ทไม่ได้เดินเส้นทางนี้ในการหาเลี้ยงชีพ

เบิร์ทเรียนจบคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากจบมาก็เดินเส้นทางอาชีพทนายเต็มตัว ด้วยการเป็น ที่ปรึกษาของบริษัทกฎหมาย เรียกว่าเป็นพนักงานออฟฟิศก็ไม่ผิด หลังจากทำอยู่ 5-6 ปี ก็เริ่มมีความคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับงานนี้ เริ่มเห็นผมหงอกของตัวเอง มีความเคร่งเครียดกับการอ่านเอกสารมากมายมหาศาลอยู่ตลอด

จนวันหนึ่งได้เกิดจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ ที่เปลี่ยนชีวิตของเบิร์ทจากการเป็นทนาย พนักงานออฟฟิศมีเงินเดือนประจำ เริ่มเข้าวงการสู่การเป็นนักเทรดหุ้น ตอนนั้นเงินเดือนล่าสุด 80,000 บาท ไม่รวมโบนัส ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายกฎหมาย ถือว่าค่อนข้างสูงสำหรับการทำงานในวัย 28 ปี

ตอนนั้นมีประชุมที่บริษัท แล้วเห็นเพื่อนนั่งกดโทรศัพท์ตลอด เลยไปถามว่าทำอะไร เพื่อนก็บอกว่าดูกราฟหุ้นอยู่ เนี่ยกำไรสองหมื่น พอเราเห็นปุ๊บก็ตกใจ ตอนแรกคิดว่าเล่นพนันรึเปล่า จากนั้นก็เริ่มเห็นว่าง่ายดี ต้นทุนไม่เยอะ แค่โหลดแอปฯ เปิดบัญชี กับโบรกเกอร์ อยากจะมีรายได้เสริมด้วย กับอีกตอนหนึ่งคือ ได้ไปอ่านหนังสือของสตีฟ จ็อบส์ แล้วรู้สึกว่าอยากเป็นผู้ประกอบการ อยากเปลี่ยนจากมนุษย์เงินเดือนมาทำธุรกิจ แต่ตอนนั้นไม่มีเงินทุน เลยคิดว่าเริ่มจากหุ้นก่อนแล้วกัน ลงทุนน้อยใช้โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ ตอนแรกคิดว่าจะเอากำไรจากหุ้นไปลงธุรกิจ พอศึกษาได้ 1 ปี ก็พบว่าอยากเอาดีด้านนี้ ไม่ทำธุรกิจแล้ว

ปัจจุบันเบิร์ทอายุ 37 ปี เป็นนักลงทุนอิสระ หรือเรียกว่า Full Time Trader แบบเต็มตัวมา 8 ปีเต็ม ไม่ได้ทำธุรกิจอื่นด้วยเลย เน้นลงทุนหุ้นไทยเป็นหลัก 70% หุ้นต่างประเทศนิดหน่อยประมาณ 20% อีก 10% เป็นพวกตราสารอนุพันธ์การเงิน และคริปโตฯ

  

เบิร์ทมองว่าการเป็นนักลงทุนมีความอิสระสูง ไม่มีเจ้านาย ไม่มีลูกน้อง ไม่มีเพื่อนร่วมงาน อยู่คนเดียว ไม่ต้องประชุม ไม่ต้องเจอลูกค้า สะดวกสบายไปอีกรูปแบบหนึ่ง

หุ้นตัวแรกที่ลงทุนสมัยเป็นเม่าหน้าใหม่ก็คือดีแทคเพราะเพื่อนบอกให้เล่น ตอนนั้นลงทุนไป 1 แสนบาท วันต่อมาบวก 20,000 ทำให้เห็นว่าได้กำไรจริง มีเงินเข้ามาจริง แต่จุดเปลี่ยนที่สำคัญก็คือตอนที่ได้กำไรเยอะ ตอนนั้นลงทุน 300,000 บาท ได้กำไร 100% เป็น 600,000 บาท ตอนนั้นเซอร์ไพรส์มาก เลยมาคิดว่าเอาดีด้านนี้ ออกมาเปลี่ยนแปลงโลก เริ่มวางแผนว่าถ้าลาออกต้องเตรียมอะไรบ้าง สำรองค่าใช้จ่ายอย่างไร” 

เชื่อว่าหลายคนมี Passion ในการขับเคลื่อน ในการทำสิ่งต่างๆ อาจจะเป็นจากความชอบส่วนตัว หรือมีอะไรเป็นแรงบันดาลใจ สำหรับเบิร์ท Passion ในการลงทุนก็คืออยากชนะ นั่นเอง ชอบในการคาดเดาเกมแล้วชนะ 

การเข้ามาในตลาดหุ้นมีหลายแบบ ริสเทคเกอร์ นักเล่นเกม เราเข้ามาในสายลงทุน สายเกร็งกำไร เราชอบเล่นเกมชนะ ชอบคาดเดาเกมการเงินที่เกินขึ้น เหมือนการเดาไพ่ ต้องการเล่นเพื่อชนะ อยากชนะตลาด

ทั้งเทรด ทั้งถือระยะยาว

การลงทุน คือ การซื้อ และถือตามมูลค่ากิจการ ซื้อระยะยาวหน่อย ประมาณ 3 เดือน มีรายงานงบการเงิน

การเทรด เหมือนการซื้อขาย เพื่อกินส่วนต่างกำไร ดูกราฟ พื้นฐานสนับสนุน

เบิร์ทเริ่มอธิบายการลงทุนของตัวเอง ในปัจจุบันมีการแบ่งสัดส่วนในการลงทุนเป็นเทรด 60% และลงทุนถือระยะยาว 40% แต่จะชอบการเทรดระยะกลางช่วงอาทิตย์ถึง 1 เดือนมากที่สุด 

“8 ปีก่อนใช้เทคนิคล้วน ศึกษากราฟ เก็งกำไร พอโตขึ้นใช้ส่วนพื้นฐานมากขึ้น หุ้นดูงบการเงินของกิจการ ถ้าพื้นฐานดีมีกำไร ทำให้เทรด และลงทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วงที่ไม่ดูพื้นฐานแล้วไปเทรด ก็ขาดทุนเยอะ” 

สำหรับหุ้นลูกรักตัวของเบิร์ท ที่มีการลงทุนเยอะที่สุด ได้แก่ CPALL, JMART, PTT และ GULF เบิร์ทอธิบายว่าแต่ละตัวพื้นฐานดี มีกำไร เป็นกิจการมั่นคง ไม่หายไปจากประเทศ เข้าถึงได้โดยง่าย คนเห็นสินค้าเยอะ  

บทเรียนขาดทุนบิตคอยน์ครั้งแรก สูญ 5-10 ล้าน!

ถ้าประสบการณ์เคยกำไร 100% แน่นอนว่าต้องมีบทเรียน ราคาเพงที่สุดอย่างแน่นอน บทเรียนนั้นของเบิร์ทก็คือบิตคอยน์ นั่นเอง เชื่อว่าไม่นานมานี้หลายคนต้องเจ็บหนักจากบิตคอยน์ด้วยเช่นกัน 

เบิร์ทเล่าว่า ตอนนั้นปี 2018 เป็นช่วงที่บิตคอยน์ยังเป็นเรื่องใหม่ มาแรง เป็นช่วงที่เริ่มเทรดได้หลายปีแล้ว จึงเอากำไรครึ่งหนึ่งไปลงทุนในบิตคอยน์ กะว่ามูลค่าในตอนนั้นที่อยู่ 20,000 เหรียญ จะพุ่งไป 60,000 เหรียญ แต่แล้วก็ไหลลงๆ เรื่อยๆ

จากที่เราคิดว่าราคาจาก 20,000 เหรียญ จะกระโดดไป 60,000 เหรียญ แต่กลับไหลลงเรื่อยๆ จาก 20,000 ไป 4,000 เหรียญ ตอนนั้นเสียความมั่นใจมาก เก็บตัว เพราะเรามั่นใจแบบสุดขีด เหมือนโดนน็อก แล้วก็มานั่งคิดว่าหรือว่าเราไม่เหมาะกับด้านนี้ หลังจากนั้นก็ตัดขาดทุนทันที ยอมเสียส่วนหนึ่ง ขาดทุนประมาณ 60-70% มูลค่าประมาณ 5-10 ล้าน

แต่ถึงแม้จะมีบทเรียนราคาแพงจากบิตคอยน์ เบิร์ทก็ไม่ถึงกับเข็ดกับตลาดนี้เสียทีเดียว แต่ใช้บทเรียนมาเป็นพลัง ศึกษาข้อมูลมากขึ้น เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

สะสมนาฬิกา NFT

ถ้าพูดถึงของสะสมของหนุ่มๆ คงหนีไม่พ้นรถยนต์, นาฬิกา, หุ่นยนต์ หรือของวินเทจเสียเท่าไหร่ สำหรับเบิร์ทของสะสมที่เป็นของรักของหวงก็คือนาฬิกา มองว่าเป็นทั้งสิ่งที่บ่งบอกไฟล์สไตล์ และยังเป็นของสะสมที่ลงทุนได้ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

ชอบสะสมนาฬิกา เพราะคนเข้าถึงง่าย เวลาไปงาน ไลฟ์สด หรือออกโซเชียล คนก็เห็นเยอะ โชว์ได้ พกพาสะดวก เปลี่ยนมือได้ง่าย ขายเร็วกว่าของสะสมอื่น บ่งบอกไลฟ์สไตล์ได้อีก มีมูลค่าเพิ่มขึ้น จะแตกต่างจากรถยนต์ ตอนนี้นาฬิกาแบรนด์ดังๆ ทำการตลาดดีทำให้ราคาขึ้น จะมีการผลิตน้อย จำกัดการผลิต อีกทั้งยังเป็นของสะสมที่ลงทุนได้ มูลค่าเพิ่มเฉลี่ย 20% ถือเก็บได้ยาว

นาฬิกาของสะสมที่ชื่นชอบที่สุดก็คือ Richard Mille รุ่น Rafael Nadal RM35-02 เป็นคอลเลกชันที่ Collab กับแบรนด์แอมบาสเดอร์ Rafael Nadal นักเทนนิสชื่อดัง ที่ชื่นชอบเรือนนี้เป็นพิเศษ เพราะเป็นตำนานคว้าแชมป์มากสุด เรือนมีสีแดง น้ำหนักเบา ใช้ระบบไขลาน กันน้ำได้ ถ้าศิลปินคนนั้นเลิกเล่นแล้ว ราคาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นอีก

ส่วนของสะสมอีกชิ้นหนึ่งที่ตอนนี้ก็สนใจไม่น้อยก็คือ NFT สะสมตัว Bored Ape Yacht Club หรือ #bayc หรือลิงเบื่อ ใช้วิธีเลือกในการดูแบล็กกราวน์ของศิลปิน ผู้พัฒนาโปรเจกต์ บางคอลเลกชันออกแค่หมื่นชิ้น ถ้าโปรเจกต์นั้นมีเซเลบเข้าร่วมก็จะดังขึ้นเรื่อยๆ มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ไปร่วมกับแบรนด์อื่นๆ เรื่อยๆ มีการเก็งกำไรอยู่

ตลาดหุ้นยังไงไป คริปโตฯ รอวันคัมแบ็ก

ตลาดหุ้น หรือการลงทุนในปีนี้มีความผันผวนค่อนข้างมาก จากหลายปัจจัยรอบตัวทั้งโรคระบาด เศรษฐกิจถดถอย เงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน รวมถึงสงครามรัสเซียยูเครน 

เบิร์ทมีการประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยไปได้ แต่ต้องเลือกตัวเลือกประเภทหน่อย ปีนี้มีเรื่องน้ำมันเข้ามา อยู่ในราคาต่ำมานาน ผู้ค้าน้ำมันมีอำนาจทำราคาขึ้นมาบ้าง น้ำมันเป็นเทรนด์น่าสนใจ แล้วก็มีหุ้นท่องเที่ยว โรงแรม สายการบิน ท่าอากาศยาน และดิวตี้ฟรี ที่น่าจะกลับมา เพราะเริ่มมีการเปิดประเทศ 

ส่วนตลาดคริปโตฯ ช่วงนี้ลงหนัก เป็นวัฏจักรปีที่แล้วขึ้น ปีนี้ลง อยู่ในช่วงรอเวลา ต้องรู้ก่อนว่าคริปโตเกิดจากการขุด ตอนนี้จำกัดการขุดทุก 4 ปี อีก 2 ปีครบวัฏจักรรอบใหม่ ต้องรอการกลับมารอบใหม่ อีก 2 ปีน่าจะกลับมาได้ 

นอกจากนี้ เบิร์ทยังประเมินการลงทุนแต่ละอย่างในมุมมองส่วนตัวว่า หุ้น มีสภาพคล่องสูง การเปลี่ยนมือง่าย ซื้อ และขายได้ในทันที อสังหาริมทรัพย์ ไม่เปลี่ยนมือในทันที อย่างน้อยต้อง 3-6 เดือนหรือมากกว่านั้น ผู้เล่นปริมาณต่างกัน หุ้นจะทบต้นได้เร็ว ถ้ากำไรก็จะมีเงินเพิ่ม เงินต่อเงินไปเรื่อยๆ แต่หุ้นก็มีโอกาสขาดทุนเร็วกว่า อสังหาริมทรัพย์ดีที่ความเสี่ยงต่ำ ราคาตกไม่เยอะเท่าไหร่

สำหรับคำแนะนำการลงทุนแก่คนรุ่นใหม่ หรือคนที่สนใจในการลงทุน เบิร์ทบอกว่า 

สนามนี้ดี เป็นโอกาสสร้างรายได้หลัก และเสริม แต่ต้องรู้ว่าการลงทุน เทรดมีการผิดพลาดได้ ต้องตัดขาดทุนได้เร็ว บางเกมก็ชนะ บางเกมก็แพ้ ต้องตัดให้เร็ว หวังผลชนะในระยะยาว ไม่ติดดอย อย่าหึกเหิมเกิน ชะล่าใจเกิน อันตราย ถ้าติดดอยจะเสียโอกาส เวลาติดดอยจะสภาพจิตใจไม่ดี ต้องอย่าไปติดดอย ต้องรู้ว่าเราพลาด ยอมตัดขาดทุน เอาเงินไปซื้อตัวอื่น” 

อยากเป็น  Value Investor

จากกการอยู่สนามนักลงทุนมา 8 ปี เป้าหมายสำคัญของเบิร์ทไม่ได้อยู่ที่ตัวเงิน ตัวเลขใดๆ แต่มองการเป็นนักลงทุนหุ้นคุณค่า หรือ Value Investor เพื่อได้รับปันผล ได้ส่วนต่างของหุ้น 

ถ้ามองย้อนกลับไป ตอนนี้ถ้าไม่ได้เป็นนักลงุทน เบิร์ทบอกว่าคงทำธุรกิจกับเพื่อน อาจจะเป็นธุรกิจกฎหมาย หรืออาจจะทำธุรกิจบางอย่างอยู่ ใช้ประสบการณ์ด้านกฎหมาย ใช้สกิลการอ่านเอกสารเยอะ เช่น เวลาพอมีข่าวก็จะอ่านได้เยอะ อ่านภายในไม่กี่นาทีได้ บวกกับได้เรื่องการวินัยจากการทำงานบริษัทญี่ปุ่น ให้ความสำคัญการละเอียดมาก จนปลุกปั้นตัวตนในการเป็นนักลงทุนจนถึงทุกวันนี้