เกรท วอลล์ มอเตอร์ ร่วมถ่ายทอดวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นสังคมยานยนต์ไฟฟ้า ฉายภาพความเป็นบริษัทที่ให้บริการเทคโนโลยีอัจฉริยะระดับโลก (Global Intelligent Technology Company) ที่มีความพร้อมในการสนับสนุนการสร้างระบบนิเวศรถยนต์ไฟฟ้าในไทยให้สมบูรณ์และ ยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยสู่การเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าแห่งเอเชีย ควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านพลังงานและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ภายในงานสัมมนา EV Forum 2022: Move Forward to New Opportunity และงานสัมมนา Automotive Summit 2022 ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย
ภายในงานสัมมนา EV Forum 2022: Move Forward to New Opportunity ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ร่วมกับฐานเศรษฐกิจ ในเครือเนชัน กรุ๊ป นายณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ในฐานะตัวแทนองค์กรเอกชนชั้นนำที่เป็นกำลังขับเคลื่อนหลักของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ได้รับเชิญให้เข้าร่วมเสวนาในหัวข้อ ‘เปิดแผนธุรกิจรุกตลาด EV’ โดยนายณรงค์ได้เผยถึงความนิยมของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในตลาดโลก ประเทศจีน รวมถึงในประเทศไทย ซึ่งหลังจากที่ เกรท วอลล์ มอเตอร์ เปิดตัวในประเทศไทยเพียง 1 ปี ได้ส่งมอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสู่ท้องถนนไทยแล้วทั้งสิ้นกว่า 8,277 คัน ในจำนวนนั้นเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% อย่าง ORA Good Cat เกือบ 2,000 คัน และยังมีที่รอส่งมอบอีกมากกว่า 3,000 คัน สะท้อนถึงโอกาสของการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งมาพร้อมกับความเร่งด่วนในการเติมเต็มระบบนิเวศของอุตสาหกรรมให้สมบูรณ์มากขึ้นอีกด้วย โดยในปี 2565 เกรท วอลล์ มอเตอร์ คาดว่ายอดขายของรถยนต์รวมทั้งปีจะอยู่ที่ประมาณ 820,000 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ โดยในจำนวนนี้ สัดส่วนของรถยนต์ไฟฟ้า (ไฮบริด ปลั๊กอิน-ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้า 100%) จะอยู่ที่ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์หรือ 82,000 คัน และในจำนวนนี้ จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% สูงถึง 12,300 คัน หรือคิดเป็น 15 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี (มกราคม-มีนาคม 2565) ประเทศไทยมียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้ารวมทั้งสิ้นกว่า 21,167 คัน โดยมีจำนวนรถยนต์ไฟฟ้า 100% จำนวน 1,270 คัน หรือประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์
ท่ามกลางโอกาสและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไทยในปัจจุบัน นายณรงค์ ได้เผยถึงกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ที่มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนนโยบายประเทศไทย 4.0 และผลักดันประเทศไทยไปสู่ศูนย์กลางการผลิตด้านยานยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน โดยผ่านทางการจัดตั้ง ‘Smart Factory’ ในจังหวัดระยอง เพื่อผลิตรถยนต์แบรนด์ HAVAL สำหรับจำหน่ายในประเทศไทยและส่งออกสู่ตลาดอาเซียน พร้อมเร่งเครื่องจัดตั้งโรงงานประกอบแบตเตอรี่ภายในปี 2566 และวางแผนเดินเครื่องผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยภายในปี 2567
“ภายใต้กลยุทธ์เพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าของไทย เกรท วอลล์ มอเตอร์ ดำเนินธุรกิจด้วยการรับฟังการรับฟังเสียงของผู้บริโภค (Consumer Voice) ซึ่งผลตอบรับต่าง ๆ ที่เราได้รับมาตลอดหนึ่งปี ได้นำมาซึ่งภารกิจหลักของเราในปี 2565 ทั้ง 4 ด้าน ที่จะช่วยสร้างความคึกคักให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเติมเต็มระบบนิเวศของไทยให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ได้แก่ 1) ด้านผลิตภัณฑ์ กับภารกิจในการนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างน้อย 9 รุ่นมาโลดแล่นบนท้องถนนไทยภายใน 3 ปี หรือ Mission 9 in 3 2) ด้านช่องทางจำหน่าย พร้อมเป้าหมายในการขยาย GWM Store เพิ่มเป็น 80 สาขาทั่วประเทศ 3) ด้านสถานีชาร์จประจุไฟฟ้า ซึ่งเรากำลังเดินหน้าขยายสถานีอัดประจุไฟฟ้าทั้ง 3 รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น G-Charge Supercharging Station สถานีชาร์จที่ Partner Store และ Destination Charging Station ที่จับมือกับพันธมิตรโรงแรม ร้านอาหาร และห้างสรรพสินค้า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการขยายสถานีอัดประจุไฟฟ้าทั้งสิ้น 55 แห่งภายในปีนี้ รวมถึงการร่วมมือกับ 3 หน่วยงานการไฟฟ้าของไทยในการจัดตั้งสถานีชาร์จและพัฒนาแอปพลิเคชันให้ครอบคลุมและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และ 4) ด้านประสบการณ์ลูกค้า โดยผ่านทางการดำเนินงานในรูปแบบ Online-to-Offline การจัดกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับลูกค้าตลอดทั้งปี รวมไปถึงการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าผ่าน GWM Application เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าได้ดีมากยิ่งขึ้น” นายณรงค์ กล่าว
ขณะเดียวกัน ภายในงานสัมมนา Automotive Summit 2022 ซึ่งจัดขึ้นโดยสถาบันยานยนต์แห่งประเทศไทย ภายใต้แนวคิด ‘ความเป็นกลางทางคาร์บอน: จุดเปลี่ยนของยานยนต์แห่งอนาคต’ นายครรชิต ไชยสุโพธิ์ รองประธาน ฝ่ายกิจการองค์กรและรัฐกิจสัมพันธ์ได้รับเชิญให้แสดงวิสัยทัศน์ด้านการบริหารจัดการคาร์บอนและการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยนายครรชิต ได้เผยเป้าหมายของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในการเดินหน้าสู่การเป็นบริษัทที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2588 โดยผ่านทางการดำเนินกลยุทธ์ 3 ด้าน ได้แก่
- การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานเดิมที่มีอยู่ รวมไปถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพระบบส่งกำลังแบบดั้งเดิมและการพัฒนาเทคโนโลยีไฮบริด โดย เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้สั่งสมประสบการณ์กว่า 30 ปี เพื่อพัฒนาระบบส่งกำลังอิสระ 9DCT ให้ประหยัดเชื้อเพลิงได้ถึง 7% ต่อการขับขี่ 100 กิโลเมตร เมื่อเทียบกับรถยนต์รุ่นพลังงานทั่วไป นอกจากนั้นยังได้พัฒนาระบบส่งกำลัง 9DHCT สำหรับ รถยนต์รุ่นปลั๊กอิน-ไฮบริด ซึ่งจะช่วยลดอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ถึง 70% ต่อการขับขี่ 100 กิโลเมตร เมื่อเทียบกับรถยนต์สันดาปรุ่นทั่วไป
- การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและระบบอัจฉริยะ (Green + Intelligent) กว่า 10 ปีที่เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้ค้นคว้า วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าและไฮโดรเจน รวมไปถึงเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่แบบอัจฉริยะ เพื่อใช้พลังงานสะอาดในการขับเคลื่อนและสร้างความปลอดภัยและความสะดวกสบายให้กับผู้คนไปในเวลาเดียวกัน โดยเรามีการนำเสนอเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ของรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) และรถเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน (FCV) ระดับคุณภาพที่สามารถเจาะตลาดจีนและตลาดโลกได้อย่างรวดเร็ว
- การจัดตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ที่ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2566 เกรท วอลล์ มอเตอร์จะมีการบริหารจัดการทุกภาคส่วนภายในโรงงานให้สามารถใช้ประโยชน์จากการหมุนเวียนพลังงานภายในห่วงโซ่การผลิตในทุกกระบวนการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่มีการปล่อยคาร์บอนออกสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก
นายครรชิต กล่าวว่า “การบรรลุเป้าหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนเป็นแผนการระยะยาวที่ต้องอาศัยความพยายามร่วมกันทั้งจากภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และภาคธุรกิจ ในขณะที่ เกรท วอลล์ มอเตอร์ เดินหน้าสำรวจเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อมทั่วโลก เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ร่วมมือกับพันธมิตรทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศและความเป็นกลางทางคาร์บอนของอุตสาหกรรม”
เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในฐานะ “บริษัทที่ให้บริการเทคโนโลยีอัจฉริยะระดับโลก” (Global Intelligent Technology Company) มุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทย ด้วยการรับฟังความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับพันธมิตรทุกภาคส่วน เพื่อนำมาพัฒนาระบบนิเวศของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยอย่างแท้จริง อันจะนำไปสู่การเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้าไทยอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน