“ประกิต กอบกิจวัฒนา” อดีตครีเอทีฟโฆษณามือฉมัง เบื้องหลังแม่ทัพผู้สร้างแบรนด์ “ชัชชาติ”

  • ประกิตเป็นผู้คร่ำหวอดในแวดวงโฆษณา ปัจจุบันได้ early retire ก่อนจะผันตัวมาเป็นหนึ่งในทีมกลยุทธ์ด้านการสื่อสาร ผู้อยู่เบื้องหลังสโลแกน “ทำงาน ทำงาน ทำงาน”
  • ประกิต และอาจารย์ชัชชาติ รู้จักกันผ่านเพื่อนของเขาที่เป็นเพื่อนร่วมก๊วนนักวิ่ง จนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนแนวคิดกันบนโต๊ะอาหาร พร้อมตกปากรับคำว่าจะช่วยเหลือ หากอาจารย์ลงสมัครผู้ว่าฯ ในอนาคต
  • ก่อนที่จะมาเป็นเบื้องหลังของทีมชัชชาตินั้น เคยได้ชิมลางงานกลยุทธ์การสื่อสารทางการเมือง ให้กับพรรคอนาคตใหม่มาก่อน
“ผมโคตรภูมิใจ รางวัลทั้งชีวิต ไม่เท่ารางวัลชีวิตนี้”
ประสบการณ์วงการโฆษณาเกือบ 30 ปี ต่อยอดสู่เบื้องหลังกลยุทธ์ด้านการสื่อสาร “ทีมชัชชาติ” ทำนโยบาย 216 ข้อให้ย่อยง่าย “งานที่ทำให้อาจารย์ เป็นรางวัลที่ดีที่สุดครั้งนึงสำหรับชีวิต”
พูดคุยกับ “แมว ประกิต กอบกิจวัฒนา” อดีต Executive Creative Director วัย 57 ปี ผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างแบรนด์สุดแข็งแกร่ง “ทีมชัชชาติ”

กว่าจะเป็น “ทำงาน ทำงาน ทำงาน”

“ไม่ได้คิดเลยว่าคำนี้จะเป็นไวรัล ตอนนั้นถ้าเราดูแคมเปญทางการเมือง ทุกคนจะมีคำสวยๆ จะทำให้ประชาชน ประเทศชาติ … เรารู้สึกว่าใช้คำฟุ่มเฟือยจัง สื่อสารกับคน ใช้คำง่ายๆ นี่แหละ

สิ่งที่เราเขียนผมว่ามันสะท้อนตัวตนของอาจารย์ อาจารย์เป็นคนทำงานอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะไปไหน สะท้อนบุคลิกของอาจารย์ที่เป็นคนไม่ได้พูดมาก ตรงไปตรงมา ชัดเจน ทำจริง

สังเกตมั้ยเวลามาอยู่บนเสื้อยืดผมว่ามันแข็งแรง ลองจินตนาการเสื้อยืดคำนี้ไปอยู่บนคนอื่น ผมคิดว่าแบรนด์กับ message มันต้องแมตช์กัน มันคือการเขียนแบรนด์ให้แตกต่าง และฟิตกับแบรนด์ที่เรากำลังสร้าง”

ประกิต กอบกิจวัฒนา กล่าวกับทีมข่าว MGR Live

ประกิตเป็นผู้คร่ำหวอดในแวดวงโฆษณาบ้านเราเกือบ 3 ทศวรรษ ปัจจุบันได้ early retire ตัวเองเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะผันตัวมาเป็นหนึ่งในทีมกลยุทธ์ด้านการสื่อสาร ผู้อยู่เบื้องหลังสโลแกน “ทำงาน ทำงาน ทำงาน” สีเขียวคุ้นตา ของ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คนล่าสุด

สำหรับทีมกลยุทธ์ด้านการสื่อสาร เริ่มต้นขึ้นราว 3 ปีก่อน การคิดแคมเปญหาเสียงเป็นโจทย์ท้าทายที่ทีมทำงานต้องตีให้แตก ซึ่งต้องศึกษาข้อมูลจากสิ่งที่ผู้สมัครผู้ว่าฯท่านอื่นต้องการสื่อสาร เปรียบได้กับการวิเคราะห์คู่แข่ง เมื่อครั้งทำงานเป็นเอเจนซี่โฆษณา

“เราก็ต้องทำแบรนด์คาแรกเตอร์ให้มันชัด เราต้องเอาแบรนด์แต่ละแบรนด์มาวาง เวลาเราทำแคมเปญก็ต้องไปอ่าน messege ทางการเมืองที่ผ่านมา ตอนนั้นพอมีคุณจักรทิพย์ เขาก็จะขายความเป็นแบรนด์เขา เช่น รักชาติ ศาสนา ขายความเป็นข้าราชการ ผู้ว่าฯที่มาจากประชาธิปัตย์ เคยสื่อสารเรื่องอะไรก็ต้องมาอ่าน พอเป็นอาจารย์ชัชชาติเราจะขายอะไร”

และที่มาที่ไปของคีย์เวิร์ด “ทำงาน ทำงาน ทำงาน” อันแสนเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความแข็งแรง อาจกล่าวได้อย่างติดตลกว่า เกิดจากความเหนื่อยล้าของกูรูกลยุทธ์การสื่อสารผู้นี้

“ทุกครั้งเวลาที่ผมทำงาน คอมฯ ผมจะมีอาจารย์ตัวเล็กๆ ยืนอยู่บนเฟรมดำๆ แล้วผมจะใส่ข้อความใหญ่ลงไปข้างบนเหนือหัวอาจารย์ ถามว่าทำไมต้องทำวิธีคิดงานแบบนี้ ผมอยากรู้ว่า message นี้เข้ากับคนที่ยืนอยู่มั้ย

วันนั้นผมจำได้ผมพรีเซนต์ไปสิบๆ ประโยค แต่ประโยคสุดท้ายมันโคตรเหนื่อย แล้วก็เบื่อกับการเขียนประโยคสวย ผมก็เลยเขียนประโยคนึงเป็นคำว่า ‘ทำงานๆๆ’ ปรากฏว่าทุกคนในทีมกลยุทธ์ชอบหมด นี่แหละตัวตนอาจารย์

และที่สำคัญอาจารย์ก็เป็นคน simple แบบนี้แหละ เป็นคนที่ไม่ได้พูดอะไรประดิษฐ์ประดอย ทุกคนชอบ อาจารย์ก็ชอบ เลยเป็นที่มาของคำอันนี้ ที่เป็นใจความหลักของแคมเปญ ที่ผ่านมากรุงเทพฯ ขาดคนทำงานมากๆ

จากเบื้องหลัง “อนาคตใหม่” สู่ “ทีมชัชชาติ”

เมื่อย้อนถามถึงเส้นทางการทำงานเอเจนซี่โฆษณา ว่ามีจุดเกี่ยวพันกับการเมืองได้ยังไง ประกิตเล่าว่า ความรุนแรงการเมืองอยู่กับเขามาทุกช่วงชีวิต จนนำมาสู่การตั้งคำถามว่า เพราะเหตุใดจึงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังเพิกเฉยต่อสถานการณ์ตรงหน้า ต่อยอดกลายเป็นงานศิลปะ “อยู่เมืองดัดจริต ชีวิตต้องป๊อป”

“ผมว่าการเมืองมันอยู่ในตัวเรา คุณพ่อคุณแม่ผมเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือการเมือง เรียนจบเราไปอยู่อังกฤษ เห็นวัฒนธรรมการต่อต้าน วัฒนธรรมการประท้วงตั้งแต่สมัย มาร์กาเร็ต แทตเชอร์ (Margaret Thatcher) ผมพูดเสมอว่าการเมืองมันเชื่อมโยงกับทุกๆ เรื่องของเรา ไม่ว่าจะเศรษฐกิจ การศึกษา มันผูกพันอยู่ในตัวเรา

ช่วงที่ผมอยู่เอเจนซี่ตอนปี 53 มีการยิงกันที่ราชประสงค์ ออฟฟิศผมอยู่กลางม็อบ มันทำให้เราสงสัยว่า ประเทศนี้ทำไมมีความรุนแรงทางการเมืองอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ 6 ตุลาฯ พฤษภาทมิฬ จน 53 เราก็ยังไม่ไปไหน

มีแคมเปญ Stronger Together ที่เอาดาราเซเลบมา มันยิ่งทำให้ผมสงสัยใหญ่เลยว่า การล้อมปราบขนาดนี้ มีคนตายขนาดนี้ คุณสามารถทำให้มันเข้มแข็งได้ด้วยการทำแคมเปญ 1 แคมเปญแค่นี้เหรอ สิ่งหนึ่งที่น่าตกใจคือคนรอบข้างเราไม่สงสัยเลยเหรอ การที่คนไม่ตั้งข้อสังเกตกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคม ผมว่ามันเป็นเรื่องที่น่าตระหนก

มันก็เป็นจุดเริ่มที่ให้ผมทำงานศิลปะอยู่ชุดนึง ผมใช้ชื่อมันว่า “อยู่เมืองดัดจริต ชีวิตต้องป๊อป” เพื่อชวนคนให้มาสงสัยว่าสังคมเรามันอยู่ด้วยความป๊อป อยู่ด้วยความปากว่าตาขยิบ ปรากฏว่าการทำงานศิลปะมันไปพ้องกับช่วงเวลานึงของการเกิดขึ้นของโซเชียลมีเดีย งานของผมถูกเผยแพร่ไป มันก็เป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ๆ ลุกขึ้นมาทำงานศิลปะ

เลยทำให้ผมคิดว่าชีวิตโฆษณาของผมมันเปลี่ยน งานศิลปะเรามันสามารถส่งสารไปกระตุ้นความคิดของคนในสังคม ให้กลับมาทบทวนว่ามันเกิดอะไรขึ้น น่าจะเป็นบรรทัดแรกๆ ที่ทำให้รู้สึกว่า ทำไมโลกโฆษณามันมีปัจจัยต่อโลกการเมือง”

ส่วนที่มาที่ไปของการได้ร่วมงานกับผู้ว่าราชการที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพีนั้น ประกิตเล่าว่า เขาและอาจารย์ชัชชาติ รู้จักกันผ่านเพื่อนของเขาที่เป็นเพื่อนร่วมก๊วนนักวิ่งของอาจารย์ จนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนแนวคิดกันบนโต๊ะอาหาร พร้อมตกปากรับคำว่าจะช่วยเหลือ หากอาจารย์ลงสมัครผู้ว่าฯในอนาคต

“ผมรู้จักอาจารย์ชัชชาติโดยบังเอิญ ตอนนั้นผมเป็น Creative Director อยู่ในบริษัทโฆษณามาก่อน พอดีมีเพื่อนผมเป็นเจ้าของสตูดิโอถ่ายรูป เป็นเพื่อนก๊วนวิ่งอาจารย์ วันนึงเขาก็มาบอกว่าอาจารย์อยากเจอผม แกเปรยๆ ว่าอยากลงผู้ว่าฯ ผมก็บอกถ้าอาจารย์จะลงผมก็ยินดีช่วยนะ เพราะผมเองผมก็ชอบคอนเซ็ปต์ของรถไฟความเร็วสูงของอาจารย์อยู่ ก็คุยเมื่อ 4-5 ปีก่อน

หลังจากนั้นผมก็ early retire ชีวิตโฆษณามันหนักแล้วก็เครียดมาก (ก่อนจะ early retire) เป็นผู้บริหารเอเจนซี่ ตื่นเช้ามาก็ทำแบบเดิม คิดแบบเดิม โจทย์เดิมๆ แก้ปัญหาเดิมๆ เจอผู้คนเดิมๆ ในขณะที่คุณจะไปโลกข้างหน้าแต่คุณทำแบบเดิม บวกกันสถานการณ์การเมืองที่มันน่าเบื่อ ผลสุดท้ายปัญหาเหล่านี้มันก็มากระทบเศรษฐกิจ ตอนนั้นผมก็บริหารจัดการชีวิตจนหมด เลยตัดสินใจ early retire พอออกมา ผมก็อยู่ได้ ชีวิตปัจจุบันก็มีความสุขกว่าเดิม”

แต่ก่อนที่จะมาเป็นเบื้องหลังของทีมชัชชาตินั้น เขาเคยได้ชิมลางงานกลยุทธ์การสื่อสารทางการเมือง ให้กับพรรคอนาคตใหม่มาก่อนแล้ว

“พอดีพี่ๆ น้องๆ ก็มาบอก มาช่วยทำแคมเปญให้อนาคตใหม่หน่อย ก็ตกปากรับคำไปช่วยอนาคตใหม่เรื่องของการสื่อสาร ตั้งแต่ตั้งพรรคจนเขาได้ ส.ส. พอตอนที่ไปอนาคตใหม่ อย่าง โรม (รังสิมันตุ์ โรม) ผมก็เจอตั้งแต่ยังเด็กๆ ก็ผูกพันกันมา แล้วพวกนี้ผมว่าเขาเป็นคนรักการเมืองโดยชีวิตจิตใจ และอยากขับเคลื่อนประเทศ

พอไปทำจริงๆ ปีนึงนี่เหนื่อยมาก เหนื่อยกว่าเอเจนซี่เยอะเลย ทำงานสินค้า เป้าหมายมันชัดเจน บางอันก็อาทิตย์นึง บางอันก็เดือนนึง บางอัน 3 เดือน ไม่มีแคมเปญไหนยาวๆ แต่พอมาทำการเมือง เราเจอคนมากมายหลากหลาย ที่สำคัญในการแสดงความคิดเห็น แสดงไอเดีย มันจะต่างจากเราทำงานครีเอทีฟ คุณต้องเปิดพื้นที่ทำประชาธิปไตย มันใช้พลังเยอะมากๆ”

ชีวิตของครีเอทีฟโฆษณาผู้นี้ มีเหตุให้ต้องหวนมาสู่สนามการเมืองอีกครั้ง ด้วยเพราะเคยรับปากกับอาจารย์ชัชชาติไว้ สมัยเจอกันครั้งแรก

“เราก็รู้สึกเหนื่อยมากกับการเมือง พอหยุดไปซัก 2-3 เดือนก็มีโทรศัพท์มา ปรากฏว่าเป็นอาจารย์ชัชชาติบอกว่าแกจะลงผู้ว่าฯ ผมเคยรับปากกับแก ความมุ่งมั่นของแกมันก็น่าช่วย รู้สึกว่าสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวแก เหมือนยังขาดความเชี่ยวชาญในมุมของการสื่อสารในทิศทางการเมือง ก็เลยตัดสินใจช่วย ปรากฏว่ารัฐบาลก็ไม่มีการประกาศให้เลือกตั้งสักที กว่าจะได้เลือกตั้งอีก 3 ปี ก็ทำงานผูกพันกันมาถึง 3 ปี จนถึงการเลือกตั้งปัจจุบันครับ

ทำกับอาจารย์ทำด้วยใจจริงๆ ผมคิดว่ามันสนุก มันชาเลนจ์ โจทย์มันท้าทายกว่าชีวิตเอเจนซี่ ไม่ได้บอกว่าเอเจนซี่ไม่ดี แต่ผมที่ทำมา 20 กว่าปีก็เบื่อ ผมคิดว่าการเมืองมีผลต่อการที่ผม early retire ในฐานะเราเป็นคนไทยมันโคตรเหนื่อยเลย

ตอนปีท้ายๆ ของชีวิตครีเอทีฟ ต้องการงานใหม่ ต้องการเปลี่ยนโลก ผม retire มา 6 ปี โฆษณาผ้าอนามัยไม่เห็นจะเปลี่ยน เอาดารามานอนพลิกซ้ายพลิกขวา พอได้ใส่ผ้าอนามัยก็มั่นใจ ร่าเริง ตั้งแต่รุ่นแม่ผมก็อย่างนี้ สุดท้ายมันก็ย่ำอยู่กับเรื่องเดิมๆ มันก็ทำให้เรารู้สึกเบื่อ และผมคิดว่าวัยผมถึงเวลาท้าทายชีวิต ตอนนี้ควรทำสิ่งที่ยังไม่เคยทำ

การที่เราทำแคมเปญให้อนาคตใหม่หรือทำให้อาจารย์ชัชชาติ เป็น new experience มากๆ ประสบการณ์ในอนาคตใหม่หลายๆ เรื่อง ผมก็หยิบยืมมาใช้กับอาจารย์ได้ เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าหาไม่ได้ในเอเจนซี่ มันเป็นช่วงชีวิตสุดท้ายเราได้ตื่นเต้น คนชอบมาถามผมนะตั้งแต่ทำแคมเปญกับอาจารย์ชัชชาติแล้วพี่แมวจะไปทำพรรคไหนต่อ ไม่ล่ะ พักผ่อน”

งานโฆษณา VS งานการเมือง ความเหมือนที่แตกต่าง

เมื่อผู้สัมภาษณ์ ให้ครีเอทีฟมากฝีมือผู้นี้ เปรียบเทียบการทำงานระหว่างงานโฆษณากับงานการเมือง แม้จะมีจุดคล้ายกันหลายเรื่อง แต่โดยรวมแล้ว งานการเมืองมีความยากกว่างานโฆษณาในทุกมิติ

“ผมกับ ปราบ (ปราบ เลาหะโรจนะพันธ์) ทำงานด้วยกันอยู่ในทีมกลยุทธ์ หน้าที่หลักของผมดูเรื่องการสื่อสาร ส่วนปราบจะทำเรื่องของ Data และงานโซเชียลมีเดียเป็นส่วนใหญ่

การทำงาน 3 ปี ผมแบ่งเป็น 3 ช่วง ปีแรกเดินลงพื้นที่กับอาจารย์ เก็บข้อมูล เก็บความรู้สึกของผู้คน เก็บข้อมูลว่าเขาฟีดแบ็กมายังไงกับกรุงเทพมหานคร ไม่ใช่ผมลงคนเดียว มีหลายคน ทีมนโยบายก็ลงไปเดินด้วย ในปีที่ 2 มันก็จะเป็นปีที่เข้มข้นเรื่องของการทำนโยบาย พอเข้าปีที่ 3 จะเริ่มเป็นเรื่องของแคมเปญเลือกตั้ง ป้ายหาเสียงเป็นกระเป๋า จริงๆ มันท้ายๆ

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการเดินลงพื้นที่และเก็บเกี่ยวมาเป็นนโยบาย 200 กว่าข้อ ผมคิดว่ามันต่างจากผมทำงานบริษัทโฆษณา อย่างงานโฆษณา โจทย์คือไปทำให้ผิวขาว เข้าใจตรงกัน แต่ว่าการเมืองมันเป็นอะไรที่ยากกว่า กว้างกว่า ลึกกว่า และทุกๆ ความลึกคุณต้องอ่านนโยบาย ไม่ใช่แค่อยู่ดีๆ อยากจะเขียนโฆษณา”

“อาจารย์มีสิ่งที่หายากมากในบรรดานักการเมืองคนอื่นๆ แกมีความเป็น pop culture อยู่ในตัว ถ้าเอาแบรนด์มาชำแหละ ผมว่าอาจารย์แกเป็นคนร่วมสมัย คือการเปิดรับความคิดเห็น มันกินความไปถึงตั้งแต่คนรุ่น Y ไปจนถึงรุ่น Z หลายๆ ปีที่ผ่านมา ผมว่าคนรุ่นใหม่โตมากับแกก่อนที่แกจะมาลงเลือกตั้งอีกนะ หมายถึงว่าในความหิ้วถุงแกงเป็นไอคอน

เราก็ต้องกลับมาดูทีมชัชชาติ มันมีวัฒนธรรมองค์กรที่ผมคิดว่าหลายๆ คนไม่ค่อยเคยเห็น ที่นี่มีตั้งแต่เด็กมากๆ ไปถึงซีเนียร์มากๆ ผมเห็นว่าผู้ใหญ่ที่นี่หลายคนเขาอาจจะโตด้วยอายุ แต่เป็นคนสมัยใหม่ เราพูดถึงคนรุ่นใหม่ แต่มันอาจจะกินใจความไปถึงคนที่สูงอายุที่มีความคิดทันสมัย”

กล่าวได้อย่างเต็มปากว่า อีกสิ่งสำคัญที่ทำให้การนำเสนอนโยบายของทีมชัชชาติประสบความสำเร็จ เป็นเพราะทีม “เพื่อนชัชชาติ” ที่เจาะพื้นที่โซเชียลฯ ครอบคลุมทั้ง Instagram, TikTok และ Twitter ผ่านฝีมือคนรุ่นใหม่

ตลอดจนเพื่อนชัชชาติ ที่ได้จากการลงพื้นที่และมาจากหลายภาคส่วน ช่วยกันขับเคลื่อนให้การทำงานผ่านไปได้อย่างราบรื่น

“อาจารย์มักจะพูดเสมอ การทำงานอะไรก็ตามแกอยากเปิดให้คนเข้ามามีส่วนร่วม เราไม่ได้เก่งคนเดียว ฟังคนอื่นมั่ง เลยกลายเป็นไม่ว่าจะทำอะไร เราก็มักจะเปิดพื้นที่ให้คนตลอด เพื่อนชัชชาติก็เป็นพื้นที่เปิดให้คนเข้ามาทำงานกับเรา

ตอนที่อาจารย์ประกาศลงอิสระ เราไม่มีหัวคะแนน เรามีแค่เครือข่ายเพื่อนชัชชาติเพื่อนอาจารย์ในที่ต่างๆ เขาก็รวมตัวกันมาช่วย ที่ผ่านมาคนที่เขาอยากจะช่วยอาจารย์เยอะมากๆ เขามีไอเดียอยากแก้ปัญหาของกรุงเทพฯ อาจารย์เปิดพื้นที่ให้ มันก็ทำให้เพื่อนชัชชาติแข็งแรง ผมคิดว่าถ้าเปิดไปแล้วแล้วไม่ได้ฟังเขาเลย มันก็ไม่มีประโยชน์

ถามว่าทำไมเว็บไซต์นโยบายของเรามันสำเร็จ นอกเหนือจากการเขียนภาษาที่ง่ายของทีมนโยบายแล้ว ผมว่าสำคัญที่สุด เราทำเว็บไซต์ให้มันเปิดโอกาสให้คนเข้ามาเขียนเพิ่ม วิธีนี้มันเป็นการเปิดให้คนมีส่วนร่วมในความคิด ผู้ว่าฯไม่ได้เป็นคนที่เก่งไปซะทุกเรื่อง ซึ่งอาจารย์ย้ำกับพวกเรามาตลอดในเรื่องนี้ ทำยังไงก็ได้ให้คนมามีส่วนร่วมกับเราให้มากที่สุด

มันเลยกลายเป็นการสร้างทิศทางใหม่ให้กับการเมืองไทย เมื่อก่อนเราคิดว่าถ้าเปิดแล้วจะโดน io มาถล่มหรือเปล่า คนจะมาเขียนด่าเราเสียๆ หายๆ มั้ย ทำเว็บไซต์ เขียนยาวๆ คนจะอ่านรึเปล่า แต่ผลสุดท้ายมันหักล้างความเชื่อเราหมดเลย การเปิดมันทำให้เขาอ่าน พอเขาอ่านเสร็จแล้วเขาถึงจะมีข้อคิดหรือไอเดียกลับมา”

เปรียบกรุงเทพฯ เป็นอเมริกา

เพื่อมองภาพปัญหาของเมืองหลวงของประเทศไทยให้เห็นชัดเจนขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การสื่อสารของทีมชัชชาติ ให้ลองจินตนาการกรุงเทพฯ เป็นสหรัฐอเมริกา ที่ไม่ได้มีแค่ปัญหาร่วมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะแต่ละ 50 พื้นที่ก็มีจุดเด่นและปัญหาแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

“ผมก็จะพูดเสมอว่า ถ้ากรุงเทพฯ เท่ากับอเมริกา ไม่ได้พูดถึงสเกล แต่เรากำลังพูดถึง 50 เขตกายภาพไม่เหมือนกันสักเขต คนอาจจะมองกรุงเทพฯ มีปัญหาคล้ายๆ กัน เช่น รถติด แต่ถ้าเรามองไปในดีเทล มันมีทั้งปัญหาร่วมและปัญหาย่อยที่แตกต่าง ก็เหมือนอเมริกา 50 รัฐ ก็มีความแตกต่างของเขาไป คุณต้องมองกรุงเทพฯ อย่างนั้น

ถามว่าทำไมอาจารย์ต้องคิดถึง 200 กว่านโยบาย มันก็มาจากความหลากหลายในปัญหาที่มีอยู่ในชีวิตคน กทม. ถ้าไปอ่านจะรู้เลยว่ามันมีปัญหาปลีกย่อยที่ต้องแก้เยอะมากๆ

หนึ่งในนโยบายที่สำคัญคือ อาจารย์อยากจะทำให้เส้นเลือดฝอยมันแข็งแรง เรื่องของความเหลื่อมล้ำมันมีเยอะ เส้นเลือดใหญ่มันก็สะท้อนเรื่องของความเหลื่อมล้ำ เราจะทำยังไงให้ช่องว่างมันน้อยลง”

และตามที่หลายคนทราบกันดี อาจารย์ชัชชาติลงสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในนามผู้สมัครอิสระซึ่งสิ่งนี้ก็อีกหนึ่งความท้าทายให้ทีมทำงานต้องฝ่าฟันไปให้ได้

นโยบายทั้งหมดกว่า 216 ข้อนั้น ได้มาจากการคิด วิเคราะห์ และลงพื้นที่สำรวจความต้องการพี่น้องชาว กทม. ผ่านการนำเสนอที่ย่อยง่าย ในคอนเซ็ปต์ ‘เกิดดี แก่ดี เจ็บดี ตายดี ในกรุงเทพมหานคร’

“ทีมนโยบายเขาก็จะมีนักวิชาการเขียน ประกอบด้วยทั้งคนรุ่นใหม่และผู้เชี่ยวชาญมากมาย แต่เราในฐานะครีเอทีฟต้องเข้าไปฟังอยู่ตลอด เพื่อที่จะถ่ายทอดนโยบายให้เป็นภาษาที่ง่ายในการสื่อสาร

แม้งานหลักของเขาจะอยู่ในทีมเบื้องหลังด้านการสื่อสาร แต่ขณะเดียวกัน ด้วยความรู้ ความสามารถและคอนเนกชันในวงการโฆษณาที่สะสมมาเกือบ 30 ปี ต่อยอดออกมาเป็นนโยบายด้านศิลปวัฒนธรรม

“ส่วนใหญ่ผมดูเรื่องงานศิลปวัฒนธรรม ผมจบศิลปากรมา ที่ผมทำส่วนนึงก็ให้ไอเดียด้วย แต่หน้าที่หลักๆ ของผมในแง่ของนโยบาย ผมพยายามจะรวบรวมคนที่มีความเชี่ยวชาญในศิลปวัฒนธรรมที่อยู่ทั้งในภาครัฐและเอกชนมาเจอกัน ให้ออกไอเดียและทำนโยบายร่วมกัน เราพยายามเปิดพื้นที่ให้ได้มากที่สุด แล้วผมก็รู้จักคนในแวดวงศิลปวัฒนธรรมเยอะ

ผมคิดว่าลำพัง กทม.เองทำไม่ได้ ต้องอาศัยพลังของภาคส่วนต่างๆ มาช่วยกันทำ เราเป็นตัวตั้งนโยบาย คิดเสร็จแล้วดึงภาคีพวกนี้มาทำงาน กทม.ช่วยพื้นที่ การ open มันดีตรงนี้ คนที่เขาอยากช่วยก็มีพื้นที่ในการเข้ามาทำงาน หนังกลางแปลงอะไรพวกนี้ก็กลุ่มคนทำหนังอิสระ ก็รู้จักกัน เขาก็ต่อสู้มาหลายปีแล้ว อาจารย์ก็เปิดพื้นที่ให้คนพวกนี้ ผมว่ามันเป็นเรื่องดี

ตอนนี้มันก็จะไปสอดคล้องกับการกระจายตัวของพื้นที่ทางศิลปวัฒนธรรม ไม่ให้กระจุกตัวอยู่ในเมือง กระจายไปพื้นที่ต่างๆ 50 เขต จะทำยังไง จริงๆ มันอยู่ในนโยบายแล้ว แต่อีเวนต์จะทำยังไง ก็อาจจะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง กทม.กับศิลปินในเขตนู้นเขตนี้อะไรก็ว่าไป ส่วนในอนาคตจะมีอะไรในเรื่องของนโยบายศิลปวัฒนธรรมก็ต้องติดตาม”

ช่วยงานอาจารย์ คืองานที่ดีที่สุดของชีวิต

สำหรับความประทับใจของคนเบื้องหลังผู้นี้ที่ได้ร่วมงานกับผู้ว่าฯชัชชาติ มาตั้งแต่ก่อนได้ตำแหน่งจวบจนถึงปัจจุบัน เขากล่าวว่า ได้ทั้งความรู้ ประสบการณ์ และสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของอาจารย์ ครอบคุลมตั้งแต่เรื่องเล็กไปจนถึงเรื่องใหญ่

“จริงๆ ก็ทุกโมเมนต์นะ ผมได้ความรู้จากแกมากมาย แกจะพูดเสมอว่าแกอยากทำแคมเปญการเมืองให้เป็นแคมเปญรักเมือง หมายถึงว่า อะไรก็ได้ที่อย่าไปรบกวนคน ยกตัวอย่างเรื่องที่ประทับใจมากๆ เวลาไปหาเสียง นักการเมืองคนอื่นจะใช้โทรโข่ง แต่แกไม่ใช้ ใช้แต่ปากพูดแล้วเดิน knock door แกจะใช้เสียงดังเท่าที่จำเป็น แกพูดเสมอ คุณไม่รู้หรอกบ้านไหนมีผู้ป่วยติดเตียงบ้าง คนเฒ่าคนแก่เขาต้องนอน กลับไปดูได้เลย

แม้กระทั่งป้ายสติกเกอร์ที่ชอบติดกัน แกไม่ให้ใช้นะ ติดแล้วลอกยาก มันทำลายทัศนียภาพของเมือง แม้กระทั่งการใช้พลาสติก ไวนิลก็ทำให้ขนาดเล็กลง แกจะบอกต้องใช้ทรัพยากรที่ไปสร้างมลพิษให้กับโลกให้น้อย เวลาลงพื้นที่จะไปเท่าที่จำเป็น ถ้าใครไม่เกี่ยวไม่ต้องเดินตามล้อมหน้าล้อมหลัง เวลาเดินไม่ใช่เดินเป็นแผง ต้องไม่ให้รบกวนคนค้าขาย

มันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมคิดว่ามันสะท้อนความใส่ใจของแก ต้องเป็นคนที่ข้างในโคตรดี ความขี้เกรงใจคน อาจารย์ครีเอทีฟยิ่งกว่าครีเอทีฟอีก คิดลงไปลึกแบบเข้าใจคน และจิตใจของแกมันทำให้วัฒนธรรมองค์กรของทีมชัชชาติเข้มแข็ง มันสะท้อนไปกับคนทำงาน

ถ้าใครทำงานกับอาจารย์แรกๆ แกจะเขียนคำใหญ่ๆ อยู่คำนึงคือคำว่า “สนุก” แกบอกว่าทำงานกับทีมชัชชาติต้องสนุก อย่าไปเครียด ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้ เวลาเราเขียน ทำงาน ทำงาน ทำงาน มันก็สะท้อนเรื่องความสนุก ผมว่าอาจารย์เองก็สะท้อนไปกับคนทำงานด้วยกัน สะท้อนไปกับคนที่อยู่ในชุมชนที่ช่วยอาจารย์ สิ่งเหล่านี้เป็นอะไรที่ผมประทับใจ”

พร้อมทั้งกล่าวอีกว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้นแม้ไม่ได้รางวัลตอบแทน แต่ถือได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจยิ่งกว่ารางวัลใดๆ ที่เคยได้รับตลอดชีวิตการทำงาน

“ผมทำงานโฆษณามา 20-30 ปี ได้รางวัลมาเยอะแยะมากมาย ต้องบอกว่างานที่ทำให้อาจารย์ ไม่มีใครมอบรางวัลให้ผมนะ แต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นรางวัลที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตครั้งนึง อาจจะมีผู้ว่าฯ ที่ดีกว่าอาจารย์ชัชชาติอีกในอนาคตก็ได้ แต่อย่างน้อยรู้สึกว่า การทำงานของเรามีส่วนช่วยทำให้ได้ผู้ว่าฯ ที่ทำงานให้คน กทม. ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมโคตรภูมิใจ

การที่เราได้ผู้ว่าฯ คนนี้ ผมจะได้ประโยชน์ด้วย ประโยชน์ไม่ใช่เงินทอง หมายถึงผมจะได้เมืองที่ดี ลูกผมจะได้เมืองที่ดี ได้เดินทางดี ได้มีต้นไม้อีกล้านต้นขึ้นมา ลูกผมไม่ต้องเดินเข้าห้างตลอด ได้เดินเข้าพื้นที่ใหม่ๆ หรือแม้การเจ็บป่วยได้ไข้ที่โรงพยาบาล กทม.จะทำให้ดีขึ้น ผมคิดว่าแค่นี้ผมก็สำเร็จแล้ว สิ่งที่ผมภูมิใจที่สุด ในอาชีพทำงานครีเอทีฟโฆษณามา ผมว่าจ็อบนี้ Great Job ที่สุดแล้ว

ส่วนอนาคตยังไม่ได้คิดอะไรเพราะว่าผมก็ยังช่วยอาจารย์อยู่ แต่อาจจะไม่ได้ช่วยเต็มตัวแบบต้องไปนั่งในศาลาว่าการฯ อาจารย์โทร.มาเรียกใช้อะไรก็ต้องช่วยแก เพราะเราก็อยากให้อาจารย์ทำงานได้ราบรื่น และดูแลกรุงเทพฯ ให้ครบ 4 ปี เป็นเป้าหมายสั้นๆ อย่างอื่นไม่ได้คิดอะไร ‘พักผ่อน พักผ่อน พักผ่อน’ เพราะว่า 3 ปีที่ผ่านมาก็ยาวนาน”

“ถ้าจะบอกอะไรกรุงเทพฯ ผมต้องขอบคุณที่ออกมาเลือกอาจารย์ ผมหวังว่าการที่เราได้อาจารย์ชัชชาติมาจะเป็นจุดเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่ขับเคลื่อนให้การเมืองไทยไปข้างหน้า ผมอยากเห็นนักการเมืองที่ลงมือทำงานอย่างอาจารย์ในทุกระดับ

และที่สำคัญ ผมอยากเห็นการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดในทุกๆ จังหวัดของประเทศไทย ให้อำนาจประชาชนในส่วนนี้ ให้เขาได้ตัดสินใจอนาคต ผมคิดว่ามันอยู่ที่การตัดสินใจของคนในอนาคตของจังหวัดนั้นๆ

เวลาทำงานอาจารย์แกชอบใช้คำอยู่คำนึงก็คือคำว่า prototype งานที่เราเห็นเป็นนโยบาย บางทีแกก็ทดลองเล็กๆ มันเวิร์กหรือเปล่า กรุงเทพฯ วันนี้เดินทางมาเป็นต้นแบบแล้ว ลองเลือกหัวเมืองใหญ่ๆ เพื่อที่จะค่อยๆ ขับเคลื่อน

ผมคิดว่าต้องปล่อยให้ประชาชนทุกๆ คน เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจอนาคตของตนเอง ยิ่งเลือกตั้งเยอะเท่าไหร่เรายิ่งเรียนรู้ไปกับมัน คนที่ทำไม่ดีก็จะถูกคัดออกไป ประชาชนก็ได้เรียนรู้การเมืองผ่านการเลือกตั้ง เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ และหวังว่าจะเป็น good start ให้เห็นว่าเราปกครองกันได้ เราดูแลกันเองได้ในแง่ของการเมืองท้องถิ่น

การเมืองท้องถิ่นต้องใช้คนในท้องถิ่น ผมคิดว่าเป็นแนวทางที่น่าสนใจและอยากเห็นพี่น้องในต่างจังหวัดได้เลือกตั้งผู้ว่าฯ คนไทยทุกคนก็คนละ 1 สิทธิ 1 เสียง หมายถึงเราเป็นหุ้นส่วนของประเทศนี้ ประเทศมันจะดีจะแย่ อยู่ที่เราด้วยส่วนนึง ส่วนเรื่องการเมืองใหญ่เดี๋ยวค่อยว่ากัน”

Source