เมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้เรียกร้องให้บริษัทต่าง ๆ ปรับขึ้นค่าจ้างให้เท่ากับการปรับขึ้นของเงินเฟ้อ หรือราว 2% เพื่อให้เศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกสามารถลดปัญหาภาวะเงินฝืดได้
รัฐบาลกล่าวในรายงานประจำปีเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเงินสาธารณะของญี่ปุ่นว่า ในช่วงเวลาที่สหรัฐอเมริกา ยุโรป และประเทศอื่น ๆ กำลังประสบปัญหาราคาพุ่งขึ้นจากสงครามรัสเซียกับยูเครนของรัสเซีย ญี่ปุ่นเองก็ต้องเผชิญกับปัญหาดังกล่าว ซึ่งกำลังทำให้ประเทศตกอยู่ในภาวะซบเซา
นายกรัฐมนตรีฟุมิโอะ คิชิดะ ซึ่งให้คำมั่นว่าจะทำให้เกิด ทุนนิยมใหม่ ซึ่งมีลักษณะกระจายการเติบโตซึ่งจะขับเคลื่อนโดยการลงทุนในประชาชน อย่างไรก็ตาม ระบบดังกล่าวความต้องขึ้นค่าจ้างที่สอดคล้องกับอัตราการเงินเฟ้อที่ 2.2% ซึ่งถือว่าสูงสุดในรอบ 7 ปี
“เนื่องจากเศรษฐกิจยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องและอัตราการเงินเฟ้อยังสูงมากนัก ญี่ปุ่นจึงไม่อยู่ในสภาพที่เรียกว่าซบเซา แต่ที่อัตราการขึ้นของเงินเฟ้อที่สูงกว่าในอดีตที่ผ่านมา มีสาเหตุหลักมาจากราคานำเข้าที่พุ่งสูงขึ้นจากราคาน้ำมันดิบ อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นยังไม่พ้นจากภาวะเงินฝืดในระยะยาวอย่างสมบูรณ์ และเพื่อให้ประเทศหลุดพ้นจากภาวะเงินฝืด จำเป็นอย่างยิ่งที่ค่าแรงจะปรับเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ”
อย่างไรก็ตาม บรรดาบริษัทเอกชนถือว่า ค่าจ้างเป็นต้นทุน ไม่ใช่การลงทุนในพนักงาน ส่งผลให้มีการกระจายผลกำไรไม่เพียงพอ และนับตั้งแต่ต้นปีนี้ ผลกระทบของการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจ เช่น อัตราการบริโภคของภาคประชาชนยังลดลง แม้ว่าการลงทุนเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัว แต่ยังเท่ากับช่วงก่อนการระบาด