เมื่อ ถูกดี มีมาตรฐาน พลิกโฉมเป็นร้านสะดวกซื้อของชุมชนที่ทำให้คนในพื้นที่เข้าถึงบริการการเงินได้ง่ายและสะดวก


ในอดีตสำหรับร้านโชห่วยเองถือว่าเป็นศูนย์กลางของชุมชน แต่ปัจจุบันร้านโชห่วยเองกลับถูกทอดทิ้ง และเราจะเห็นว่าผู้ประกอบการร้านโชห่วยเองก็ประสบกับปัญหาในการดูแลและจัดการร้านอย่างมาก รวมถึงต้นทุนในการบริหารร้านค้าเองก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ร้านค้าเหล่านี้ต้องปิดตัวลงเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ดีเรื่องนี้กลับกลายเป็นอดีตไปแล้ว

เมื่อความร่วมมือกันระหว่างกลุ่มคาราบาวกับธนาคารกสิกรไทย กำลังจะทำให้ร้านโชห่วยกลับมามีบทบาทสำคัญอีกครั้งในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้กับคนฐานรากของสังคม

Positioning จะพาไปดูว่าความร่วมมือระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่นี้จะช่วยพลิกฟื้นร้านโชห่วย และยังทำให้ประชาชนฐานรากเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างไรหลังจากนี้

“ถูกดี มีมาตรฐาน” ร้านโชห่วยที่ถูกพัฒนาศักยภาพ เป็นร้านสะดวกซื้อของชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน

 Positioning ได้พูดคุยกับเจ้าของร้านโชห่วยที่ก่อนจะมาเป็นพาร์ทเนอร์กับร้าน ถูกดี มีมาตรฐาน โดยหลายคนเปิดเผยว่าในการเปิดร้านโชห่วยนั้นประสบปัญหาหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสต็อกสินค้าที่ต้องออกเงินก่อน ขณะเดียวกันต้องเก็บสินค้าและไม่รู้ว่าสินค้าจะขายหมดเมื่อไหร่ หลายครั้งทำให้ต้นทุนต้องจม นอกจากนี้ยังรวมถึงการที่ไม่ทราบว่าความต้องการสินค้าของคนในชุมชนนั้นคืออะไร ก็อาจทำให้ร้านโชห่วยเองอาจขายสินค้าได้ไม่ดี

สิ่งที่ร้านถูกดี มีมาตรฐาน แตกต่างจากโชห่วยแบบเดิมๆ คือ ไม่ต้องนำเงินไปจมกับสต็อกสินค้า พร้อมทั้งติดตั้งระบบเครื่อง POS ที่เชื่อมต่อกับทางทีดี ตะวันแดง ทำให้ทราบได้ว่าสินค้าไหนขายดี และสามารถรู้สต็อกเพื่อจัดส่งสินค้าเมื่อสต็อกถูกขายออกไป และยังมีการให้คำปรึกษาจากทาง ทีดี ตะวันแดง ด้วย

นอกจากนี้ ร้านถูกดี มีมาตรฐาน ได้เพิ่มระบบสมาชิกเข้ามา ยิ่งทำให้ลูกค้าของร้านมีสิทธิ์สะสมคะแนน หรือได้ส่วนลดจากทางร้านค้าในอนาคต ทางด้านของร้านค้าเองก็จะทราบถึงความต้องการของลูกค้าแต่ละราย ทำให้สามารถลงสินค้าในแต่ละร้านให้ถูกใจคนในชุมชนได้เพิ่มมากขึ้น

สำหรับโมเดลของร้านถูกดี มีมาตรฐาน ไม่ใช่การผูกขาดอย่างที่หลายคนกังวล เนื่องจากโมเดลของร้านนั้นเป็นการแบ่งส่วนแบ่งกำไรในสัดส่วน 85-15 นั่นก็คือทางร้านค้าที่เป็นพาร์ทเนอร์ได้กำไรไป 85% ขณะที่ทีดี ตะวันแดงได้ส่วนแบ่งซึ่งเป็นค่าบริหารจัดการเพียงแค่ 15% โดยที่ร้านค้าพาร์ทเนอร์ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายรายเดือนให้กับบริษัทฯ

ปัจจุบันร้านถูกดี มีมาตรฐานมีจำนวนร้านค้าที่เปิดไปแล้วทั้งสิ้นราวๆ 5,000 ร้าน โดยตั้งเป้าว่าจะมีร้านค้าให้ได้ถึง 30,000 ร้านค้าทั่วประเทศภายในปี 2567

คุณพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (ซ้าย) คุณเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานกรรมการ บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด (ขวา)


เมื่อร้านถูกดี มีมาตรฐานกำลังจะพัฒนาเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของชุมชน 

คุณเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานกรรมการ บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด ได้กล่าวว่า ในการพัฒนาร้านถูกดี มีมาตรฐาน นั้น บริษัทไม่ได้มองเพียงการเข้ามาพัฒนาและปรับร้านโชห่วยให้มีความทันสมัยเท่านั้น แต่วางเป้าหมายให้ร้านถูกดี มีมาตรฐาน เป็นเสมือน “แพลตฟอร์ม”และ “โครงข่าย” นอกจากนี้เมื่อร้านถูกดี มีมาตรฐานกลายเป็นศูนย์กลางชุมชนนอกจากเรื่องค้าปลีกแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางที่จะทำให้ ผู้ให้บริการต่างๆ ที่คนในชุมชนเคยเข้าถึงได้ยาก อาทิ บริการทางการเงิน, เป็นจุดรับส่งสินค้าในชุมชน, บริการสินค้าทางการเกษตร ฯลฯ ซึ่งอำนวยความสะดวกให้กับคนในชุมชนนั้นๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมู่บ้านที่ห่างไกล ที่สิ่งอำนวยความสะดวกเข้าไม่ถึง แต่ทำให้ชุมชนเหล่านี้สามารถเข้าถึงบริการได้มากขึ้น

ลองนึกภาพว่าร้านถูกดี มีมาตรฐานในชุมชน สามารถที่จะทำธุรกรรมรับฝากเงิน เปิดบัญชีธนาคาร หรือแม้แต่จ่ายบิล ที่แต่เดิมอาจต้องเดินทางไปทำธุรกรรมต่างพื้นที่ เนื่องจากไม่มีผู้ให้บริการในเรื่องนี้ ซึ่งทำให้เสียเวลา ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจด้วยซ้ำ เพื่อที่จะทำให้เศรษฐกิจฐานรากของชุมชนเข้มแข็งขึ้นมา จึงเกิดความร่วมมือดังกล่าวขึ้น ซึ่งแต่ละฝ่ายมีจุดแข็งแตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นฝั่งของทีดี ตะวันแดงที่ทำแพลตฟอร์มถูกดี มีมาตรฐาน และกำลังขยายร้านค้าไปทั่วประเทศ ขณะเดียวกันธนาคารกสิกรไทยเองก็มีจุดแข็งในการเป็นสถาบันการเงินที่มีชื่อเสียง มีนวัตกรรมใหม่ๆ และยังเห็นโอกาสที่จะทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินได้มากกว่านี้

สิ่งที่เกิดขึ้นคือการจับมือระหว่าง 2 องค์กร นอกจากนี้ธนาคารกสิกรไทยยัง ได้ลงทุนกับกลุ่มทุนคาราบาวเป็นเงินมากถึง 15,000 ล้านบาทด้วย


คนในพื้นที่จะได้ใช้บริการทางการเงินจากธนาคารกสิกรไทยได้ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น

ความร่วมมือระหว่างธนาคารกสิกรไทยกับกลุ่มคาราบาวที่รวมถึง ทีดี ตะวันแดง ยิ่งทำให้ภายในอนาคตอันใกล้นี้ เราจะเห็นบริการทางการเงินของธนาคารกสิกรไทยนั้นเข้าไปตามชุมชนมากยิ่งขึ้น

คุณพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า การร่วมลงทุนกับบริษัทในกลุ่มธุรกิจ คาราบาว เป็นยุทธศาสตร์ของธนาคารที่ตั้งใจพัฒนาร้าน “ถูกดี มีมาตรฐาน” ให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของชุมชน ทำให้ทุกคนที่อยู่ในวงจรของไล่ตั้งแต่เจ้าของร้านคู่ค้า ชาวบ้านในชุมชน สามารถจับจ่ายใช้สอยและใช้บริการการเงินได้สะดวกมากยิ่งขึ้นโดยความร่วมมือนี้จะทำให้ธนาคารมีจุดบริการเคแบงก์ เซอร์วิส เพิ่มขึ้นเป็น 30,000 จุด จากเดิมที่มีจำนวนกว่า 27,000 จุด

นอกจากนี้ความร่วมมือดังกล่าวยังทำให้ประชาชนฐานรากนั้นสามารถเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารได้ง่ายขึ้นและจะตอบโจทย์ที่ว่าการที่ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ ส่งผลทำให้หลายคนเองต้องไปใช้เงินกู้นอกระบบแทนซึ่งพื้นที่ห่างไกลหลายแห่งนั้นมีเรื่องราวแบบนี้จริง ซึ่งในช่วงแรกพาร์ทเนอร์ของถูกดี มีมาตรฐาน จะช่วยกับธนาคารในการปล่อยสินเชื่อ และในช่วงเริ่มต้นบริการสินเชื่อนั้นคุณเสถียรได้กล่าวว่าอาจเริ่มต้นที่ 5 ถึง 10 ราย ในไม่กี่สาขาทั่วประเทศ ก่อนที่จะขยายเพิ่มมากขึ้น

คุณพัชร ยังชี้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากความร่วมมือดังกล่าวนี้ไล่ตั้งแต่เจ้าของร้าน คู่ค้า ชาวบ้านในชุมชน สามารถจับจ่ายใช้สอยและใช้บริการการเงินได้สะดวกมากยิ่งขึ้น รวมถึงสามารถเข้าถึงสินเชื่อธนาคารได้ง่ายขึ้น และสิ่งที่เกิดขึ้นคือการสร้างรายได้หมุนเวียนขับเคลื่อนเศรษฐกิจในชุมชน

ท้ายที่สุดแล้วสำหรับความร่วมมือดังกล่าวจะทำให้ประชาชนได้สินค้าคุณภาพดี แม้ต่อให้อยู่ในพื้นที่ห่างไกลก็ตาม ขณะเดียวกันยังทำให้ประชาชนระดับฐานรากที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินนั้นสามารถเข้าถึงบริการทางการเงิน หรือแม้แต่สินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งทำให้โอกาสที่ชาวบ้านจะไปใช้บริการของเงินกู้นอกระบบลดลง และเมื่อชาวบ้านระดับฐานรากเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น ได้สินค้าที่มีคุณภาพ ส่งผลทำให้เศรษฐกิจในชุมชนเองหมุนเวียน สร้างโอกาสและการพัฒนาใหม่ๆ ได้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับร้านถูกดี มีมาตรฐาน คลิก https://bit.ly/3ayuAzd