ลอรีอัลแถลงผลการดำเนินงานในรอบครึ่งปีแรก ผลประกอบการเติบโตขึ้นอย่างโดดเด่นในอัตรา +13.5%

Nicolas Hieronimus, Directeur General L'Oreal, Mai 2021

ลอรีอัล กรุ๊ป รายงานผลประกอบการครึ่งปีแรก 2565 โดยมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น ด้วยยอดขาย มูลค่า 1.836 หมื่นล้านยูโร โดยมีอัตราการเติบโตถึง 13.5%1 หลายแผนกมีอัตราการเติบโตขึ้นเป็นเลขสองหลัก แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภค ขยายตัวเร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทุกภูมิภาคมีอัตราการเติบโตขึ้นเป็นเลขสองหลัก ตลาดเกิดใหม่ขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง

นายนิโคลา ฮิโรนิมุส (Nicolas Hieronimus) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ ลอรีอัล กรุ๊ป กล่าวว่า “หลังจากเผชิญโรคระบาดมานานกว่า 2 ปี ผู้บริโภคเริ่มมีความต้องการที่จะเข้าสังคม และเลือกที่จะให้รางวัลตัวเองด้วยผลิตภัณฑ์ความงามอันล้ำสมัยและเหนือระดับ ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเติบโตของตลาดความงาม ลอรีอัลเติบโตมากกว่าตลาดถึงสองเท่า และรักษาตำแหน่งในฐานะบริษัทความงามอันดับ 1 ของโลกไว้ได้อย่างเหนียวแน่น

การดำเนินธุรกิจของลอรีอัล กรุ๊ป นั้นก็มีความสมดุลมากขึ้น ทั้งความสมดุลระหว่างปริมาณและมูลค่า ความสมดุลระหว่างการขยายตัวแบบออฟไลน์ เนื่องจากร้านค้าในประเทศส่วนใหญ่เปิดทำการอีกครั้ง และช่องทางอี-คอมเมิร์ซ ซึ่งยังคงมีอัตราการขยายตัวในระดับเลขสองหลัก ความสมดุลระหว่างภูมิภาคต่าง ๆ ที่ล้วนมีอัตราการขยายตัวในระดับเลขสองหลักด้วยการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในตลาดเกิดใหม่ (ภูมิภาค SAPMENA–SSA1 และภูมิภาคละตินอเมริกา) และผลการดำเนินงานอันโดดเด่นในประเทศจีนท่ามกลางบริบทที่ท้าทายอย่างมาก ซึ่งเป็นผลมาจากความเชี่ยวชาญในอี-คอมเมิร์ซ อีกทั้งยังมีความสมดุลระหว่างแผนกต่าง ๆ โดยมี 3 แผนกที่มีอัตราการเติบโตขึ้นเป็นเลขสองหลัก และแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภค ขยายตัวเร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสที่ 2 และสุดท้าย กลุ่มผลิตภัณฑ์หลักก็มีอัตราการเติบโตขึ้นเป็นเลขสองหลักเช่นกัน

ด้วยศักยภาพในการเพิ่มมูลค่าผ่านนวัตกรรม และการควบคุมต้นทุนที่ผ่านมานั้น ทำให้ลอรีอัล กรุ๊ป สามารถรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น ลดแรงกดดันจากห่วงโซ่อุปทาน และลงทุนในแบรนด์ต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยังคงพัฒนาความสามารถในการทำกำไรและสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนต่อไป

ในส่วนของโครงการเพื่อความยั่งยืนลอรีอัลเพื่ออนาคต (L’Oréal For The Future) ได้มาถึงหมุดหมายสำคัญ โดยลอรีอัล กรุ๊ป สามารถทำให้โรงงานทุกแห่งในภูมิภาคเอเชียเหนือนั้นมีความเป็นกลางทางคาร์บอนได้สำเร็จ ต่อจากประเทศสหรัฐอเมริกาที่ทำได้ตั้งแต่ปี 2021

“แม้จะกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนและความไร้เสถียรภาพในขณะนี้ แต่ลอรีอัล กรุ๊ป ก็เชื่อมั่นว่ารูปแบบการทำงานที่สมดุลและมีเอกลักษณ์ ศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมอันน่าเหลือเชื่อ แบรนด์ที่แข็งแกร่ง ความมุ่งมั่นในการทำงานของทีม และความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทจะเป็นหลักที่ทำให้สามารถดำเนินแผนกลยุทธ์การเติบโตที่สามารถทำกำไร และนำไปสู่ความยั่งยืนได้ เรายังคงเชื่อมั่นในอนาคตของตลาดความงามโลก และมั่นใจในความสามารถของเราที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์อันโดดเด่นต่อไปในปี 2022 นี้ และทำให้ปีนี้เป็นอีกปีที่ยอดขายและกำไรจะเติบโตขึ้น” นายนิโคลา ฮิโรนิมุส กล่าวเสริม

VICHY LIFTACTIV VITAMIN C SERUM KV FINAL

ยอดขายแบ่งตามแผนกและภูมิภาค

สรุปตามแผนก

  • ผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ (Professional Products) เพิ่มขึ้น 14.3%
  • ผลิตภัณฑ์อุปโภค (Consumer Products) เพิ่มขึ้น 8%
  • ผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง (L’Oréal Luxe) เพิ่มขึ้น 16.4%
  • ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง (Active Cosmetics) เพิ่มขึ้น 20.9%

สรุปตามภูมิภาค

  • ภูมิภาค SAPMENA – SSA2 (เอเชียแปซิฟิกใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกาหนือ – แอฟริกาใต้ซาฮารา) เพิ่มขึ้น 23%

ลอรีอัลในภูมิภาค SAPMENA นั้นเติบโตเร็วกว่าตลาดมาก โดยบริษัทสามารถสนองตอบความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากร้านค้าปลีกในภูมิภาคนี้ ในขณะเดียวกันช่องทางออนไลน์ก็ยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยแผนกลยุทธ์กระตุ้นกิจกรรมที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้การดำเนินงานในภูมิภาค SAPMENA นั้นได้รับอิทธิพลจากกลไกยอดขายที่โดดเด่นในอินเดียเป็นอย่างมาก ในส่วนของภูมิภาคแปซิฟิกนั้น ลอรีอัลฟื้นตัวและกลับมายืนหยัดในประเทศออสเตรเลีย เห็นได้จากอัตราการเติบโตที่ขึ้นมาเป็นเลขสองหลักในไตรมาสที่สอง ขณะที่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การกลับมาของนักท่องเที่ยวมีส่วนสนับสนุนให้ยอดขายในภูมิภาคนี้ฟื้นตัว ซึ่งลอรีอัลพบว่า ยอดขายจากช่องทางออฟไลน์ฟื้นตัวอย่างมากในประเทศมาเลเซีย และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศไทย และประเทศเวียดนาม จากความสำเร็จของแผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง (Active Cosmetics) ขณะที่ในเขตตะวันออกกลางนั้น กลุ่มประเทศแถบคาบสมุทรอารเบียนต่างมียอดขายเพิ่มขึ้นมาก ส่วนในภูมิภาคแอฟริกาใต้ซาฮารานั้น ลอรีอัล กรุ๊ป มีความก้าวหน้าเร็วกว่าตลาดอย่างมาก และยังมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นซึ่งขับเคลื่อนโดยประเทศแอฟริกาใต้และประเทศเคนยา

  • ภูมิภาคยุโรปเพิ่มขึ้น 14.3%
  • ภูมิภาคอเมริกาเหนือเพิ่มขึ้น 11.6%
  • ภูมิภาคเอเชียเหนือเพิ่มขึ้น 10.5%
  • ภูมิภาคละตินอเมริกาเพิ่มขึ้น 22.3%